คำนำ มนุษย์เกิดขึ้นมาพร้อมกับความไม่รู้แจ้งชีวิตว่า เราคืออะไร? ต้นกำเนิดของชีวิตคืออะไร? เกิดมาเพื่ออะไร? อะไรคือสิ่งสูงสุดที่คู่ควรกับชีวิต? และจะได้สิ่งสูงสุดนั้นมาได้อย่างไร? ซึ่งพระพุทธเจ้าก็คือผู้ที่รู้แจ้งชีวิตและโลกตามความเป็นจริง และพระองค์ก็ได้ทรงมาสอนให้มนุษย์เกิดความรู้แจ้งชีวิตเหมือนกับพระองค์ ซึ่งหนังสือ พระพุทธเจ้าสอนอะไร? นี้ได้สรุปวิธีการศึกษาเพื่อให้เกิดความรู้แจ้งชีวิต ตามวิธีการของพระพุทธเจ้าเอาไว้แล้วอย่างครบถ้วน จึงขอฝากให้ผู้ที่สนใจที่จะค้นหาความจริงของชีวิต ได้ช่วยกันศึกษา เพื่อให้เกิดความรู้แจ้งชีวิต และได้รับสิ่งสูงสุดที่คู่ควรกับชีวิต และถ้าใครเห็นว่าหนังสือนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ ก็ขอให้ช่วยกันเผยแพร่ต่อๆไป ตามเจตนารมณ์ของพระพุทธเจ้า ที่ปรารถนาจะช่วยให้เราทุกคนตื่น แล้วหลุดพ้นจากความทุกข์กายและความทุกข์ใจกันต่อไป พระออมสิน เตชปัญโญ อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี ๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ **************************************** ภาคต้น การศึกษาขั้นพื้นฐาน อริยสัจ ๔ คืออะไร? คนส่วนมาก (หรือเกือบจะทั้งหมด) ก็จะรู้กันมาแล้วว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อริยสัจ ๔ ซึ่งอริยสัจ ๔ ก็คือ คำสอนเรื่องการดับทุกข์ ที่สรุปได้ ๔ ประการ อันได้แก่ ทุกข์, เหตุของทุกข์, ความดับทุกข์, และวิธีการดับทุกข์ แต่คนส่วนมากนั้นจะเข้าใจว่า ความทุกข์ ก็คือ ความแก่, เจ็บ, ตาย, ความพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งอันเป็นที่รัก, ความประสบกับบุคคลหรือสิ่งอันไม่เป็นที่รัก, และความผิดหวัง ส่วน เหตุของความทุกข์ ก็คือ การเกิดชีวิตของเราขึ้นมา (คือเมื่อเกิดชีวิตของเราขึ้นมาจึงทำให้ต้องพบกับความแก่, เจ็บ, ตาย เป็นต้น) โดยเหตุที่ทำให้เกิดชีวิตของเราขึ้นมานั้นก็คือ กิเลส หรือ ตัณหา (ความพอใจ-ไม่พอใจ) ของจิต ส่วน ความดับทุกข์ หรือ ความไม่มีทุกข์ ก็คือ นิพพาน ที่เรามักเข้าใจกันว่าหมายถึง การดับกิเลสอย่างสิ้นเชิง และเมื่อจิตไม่มีกิเลสอย่างสิ้นเชิงแล้ว เมื่อตายไปแล้ว จิตก็จะดับสูญไปเลย (คือไม่กลับมาเกิดเป็นใครๆหรืออะไรๆอีกต่อไป) ส่วน วิธีการดับทุกข์ ก็คือ การปฏิบัติ ศีล, สมาธิ, ปัญญา เพื่อให้จิตหมดกิเลส เมื่อจิตหมดกิเลสและตายไป จิตก็จะดับสูญไปเลย คือจะไม่กลับมาเกิดเป็นใครหรืออะไรๆอีกต่อไป สรุปแล้วคนส่วนมากจะเข้าใจอริยสัจ ๔ กันอย่างนี้ คือเข้าใจว่าเป็นการปฏิบัติเพื่อสั่งสมบารมี (คือคุณสมบัติหรือพลังอำนาจวิเศษ) เอาไว้ในชาตินี้ เพื่อเอาไว้ไปดับทุกข์เอาในชาติหน้า หรือในอนาคตอีกหมื่นชาติแสนชาติตามที่เชื่อกันอยู่ ซึ่งก็เลยทำให้คนส่วนใหญ่คิดว่า อริยสัจ ๔ ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับชีวิตของเขาในปัจจุบัน ซึ่งนี่เองที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่สนใจมาศึกษาอริยสัจ ๔ เพราะไม่เห็นประโยชน์ต่อชีวิตของเขา รวมทั้งคิดว่ามันเป็นเรื่องยากแสนยากหรือเกินวิสัย (คือขอบเขต) ที่คนธรรมดาจะปฏิบัติได้ อริยสัจ ๔ ที่แท้จริงสอนอย่างไร? ความจริงแล้ว อริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นคำสอนเรื่อง การดับทุกข์จิตใจในชีวิตปัจจุบัน หรือเรียกว่าเป็นการปฏิบัติเพื่อให้จิตของเราไม่มีความทุกข์ ซึ่งความทุกข์ในอริยสัจ ๔ นี้ก็หมายถึง ความเศร้าโศก (หรือความเสียใจ), ความคับแค้นใจ, ความแห้งเหี่ยวใจ (หรือความตรอมใจ), ความหนัก-เหนื่อยใจ (ความเครียด), ความที่จิตไม่ปรกติ ไม่สงบ ไม่เย็น, หรือความไม่สบายใจทุกระดับ ที่เกิดขึ้นกับจิตใจของเราในชีวิตปัจจุบันนี่เอง โดยความทุกข์นี้เองที่เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวอย่างที่สุดของชีวิตเราทุกคน และ ถ้าเราสามารถมีชีวิตที่ไม่มีความเศร้าโศกเลยได้ นั่นจะเป็นประโยชน์สำหรับชีวิตของเราอย่างยิ่งเลยทีเดียว สรุปได้ว่า อริยสัจ ๔ เป็นวิธีการปฏิบัติเพื่อให้จิตไม่มีความเศร้าโศก ซึ่งถ้าเราเข้าใจอริยสัจ ๔ เช่นนี้เราก็จะมองเห็นประโยชน์จากการศึกษาอริยสัจ ๔ และหันมาศึกษาอริยสัจ ๔ เพื่อที่จะได้รู้วิธีการทำให้จิตของเราไม่ให้มีความทุกข์ที่เป็นสิ่งที่เราทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้นกับจิตของเรา เหตุของความทุกข์คืออะไร? ส่วนเหตุที่ทำให้จิตเกิดความทุกข์ (คือความเศร้าโศกฯ) นั้นก็คือ กิเลส หรือ ตัณหา (คือความพึงพอใจ-ไม่พึงพอใจ) คือเมื่อชีวิตของเราได้ประสบกับ ภาวะที่ไม่น่าพึงพอใจ ของชีวิตอันได้แก่ ความแก่, ความเจ็บ, ความตาย, ความพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งอันเป็นที่รัก, ความประสบกับบุคคลหรือสิ่งอันไม่เป็นที่รัก, และความผิดหวัง แล้วถ้าเราไม่มี สติ-ปัญญา-สมาธิ มาระวังหรือควบคุมไม่ให้กิเลสเกิดขึ้น จึงทำให้จิตของเราเกิด กิเลส ประเภท ความไม่พึงพอใจ (คือความโกรธ, ความเกลียด, ความกลัว, หรือความไม่อยากได้ฯ) ต่อ ภาวะที่ไม่น่าพึงพอใจ ที่กำลังเกิดขึ้นกับชีวิตของเราอยู่นั้น และเมื่อเราไม่สามารถหนีพ้นจาก ภาวะที่ไม่น่าพึงพอใจ นั้นไปได้ หรือ ไม่สามารถทำลายให้มันหายไปจากชีวิตของเราได้ จึงได้ทำให้จิตของเราเกิดความทุกข์ (คือความเศร้าโศกฯ) ขึ้นมาทันที (คือถ้ากิเลสรุนแรง ความทุกข์ก็จะรุนแรง แต่ถ้ากิเลสไม่รุนแรง ความทุกข์ก็จะไม่รุนแรง) สรุปได้ว่า เหตุที่ทำให้จิตเกิดความทุกข์ก็คือ กิเลส ประเภท ความไม่พึงพอใจ คือเมื่อจิตของเราเกิด ความไม่พึงพอใจ หรือ ความไม่อยากได้ ต่อ ภาวะที่ไม่น่าพึงพอใจ ที่กำลังเกิดขึ้นกับชีวิตของเราเมื่อใด จิตของเราก็จะเกิด ความทุกข์ (คือความเศร้าโศกฯ) ขึ้นมาทันที เมื่อจิตไม่มีความทุกข์มันจะเป็นอย่างไร? เมื่อชีวิตของเรายังไม่ประสบกับ ภาวะที่ไม่น่าพึงพอใจ ใดๆ และจิตของเราก็ยังไม่เกิดกิเลสใดๆขึ้นมา จิตของเราก็จะยังไม่เกิด ความทุกข์ (คือยังไม่มีความเศร้าโศกฯ) แต่ถึงแม้ว่า ภาวะที่ไม่น่าพึงพอใจ ใด จะได้กำลังเกิดขึ้นกับชีวิตของเราอยู่ก็ตาม ถ้าขณะนั้นจิตของเราไม่ปรุงแต่ง (คือสร้างหรือทำ) ให้เกิดกิเลสประเภท ความไม่พึงพอใจ ขึ้นมา จิตของเราขณะนั้นก็จะไม่มี ความทุกข์ (คือไม่มีความเศร้าโศกฯ) และ เมื่อจิตไม่มีความทุกข์ มันก็จะกลับคืนมาเป็นจิตปรกติ ที่มีความสงบเย็น (หรือที่เรียกว่าความเย็นใจ) อยู่แล้วตามธรรมชาติเดิมของมัน ซึ่งความสงบเย็นนี้ทางพุทธศาสนาเรียกว่า นิพพาน ที่แปลตรงๆว่า เย็น (คือหมายถึงจิตที่สงบเย็น) โดยปรกติในชีวิตประจำวันของเรานี้ กิเลสมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา คือกิเลสนั้นมันจะเกิดขึ้นมาก็ต่อเมื่อ มี ภาวะที่ไม่น่าพึงพอใจ มาให้จิตได้รับรู้ และจิตของเราก็ไม่มี สติ-ปัญญา-สมาธิ มาระวังไม่ให้กิเลสเกิดขึ้น จึงทำให้จิตของเราปรุงแต่งกิเลสประเภท ความไม่พึงพอใจ ขึ้นมา สรุปได้ว่าปรกติจิตของเรามันก็ไม่มีความทุกข์อยู่แล้วตามธรรมชาติ เพียงแต่ว่ามันไม่มีความทุกข์แค่เป็นครั้งคราวเท่านั้น และเราก็ไม่สามารถควบคุมให้จิตของเราไม่มีความทุกข์อย่างชั่วคราวได้ตามใจเราเท่านั้น ซึ่งพระพุทธเจ้านั่นเองที่มาสอนวิธีการทำจิตให้ไม่มีความทุกข์ทั้งอย่างชั่วคราวและถาวร (คือมีอยู่ตลอดเวลาจนตลอดชีวิต) วิธีการดับทุกข์เป็นอย่างไร? ส่วน วิธีการดับทุกข์ ตามที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นสรุปอยู่ที่ การใช้ปัญญากับสมาธิมาทำงานร่วมกัน โดยมีศีลเป็นพื้นฐาน ซึ่ง ศีล ก็หมายถึง ความปรกติของจิต ที่เกิดขึ้นได้จากการที่เรามีเจตนที่จะไม่เบียดเบียนชีวิต-ทรัพย์สิน-กามารมณ์ของผู้อื่น รวมทั้งการมีเจตนาที่จะไม่พูดโกหก-หยาบคาย-ส่อเสียด-เพ้อเจ้อ ซึ่งศีลนี้แม้คนที่ไม่ได้บวช หรือคนธรรมดาทั่วไปก็สามารถปฏิบัติได้ ส่วน สมาธิ ก็คือ จิตที่เข้มแข็ง, บริสุทธิ์, อ่อนโยน ซึ่งสมาธินี้เราทุกคนก็พอจะมีกันอยู่บ้างแล้ว ส่วนคนที่มีสมาธิสั้นก็ต้องมีการฝึกฝนกันหน่อยก็จะทำให้มีสมาธิขึ้นมาได้ โดยวิธีการฝึกสมาธิอย่างง่ายๆก็คือ การตั้งใจพิจารณาอยู่แต่ในเรื่องปัญญาอยู่ตลอดเวลา ก็จะทำให้จิตเกิดสมาธิที่พอเหมาะที่จะนำมาใช้ดับทุกข์ได้แล้ว ส่วน ปัญญา ก็คือ ความรอบรู้ในอริยสัจ ๔ โดยหัวใจของปัญญาสรุปอยู่ที่ ความเข้าใจและเห็นแจ้งว่าร่างกายและจิตใจของเรานี้เป็นอนัตตา โดย คำว่า อนัตตา แปลว่า ไม่ใช่อัตตา ซึ่งการที่เราจะศึกษาคำว่า อนัตตา ให้เข้าใจความหมายของมันให้ถูกต้อง จำเป็นที่เราจะต้องศึกษาคำว่า อัตตา ให้เข้าใจความหมายของมันก่อน เราจึงจะเข้าใจความหมายของคำว่า อนัตตา ได้อย่างถูกต้อง โดยการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ก็สรุปอยู่ที่ ให้เรามีศีลก่อนเป็นพื้นฐาน แล้วให้เรา มีสติระลึกถึงปัญญาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเมื่อเราระลึกถึงปัญญาอยู่ตลอดเวลา ก็จะทำให้จิตของเรามีสมาธิที่พอเหมาะขึ้นมาได้เองโดยอัตโนมัติ แล้วปัญญากับสมาธิก็จะมาร่วมกันระวังไม่ให้จิตปรุงแต่ง (คือสร้างหรือทำ) กิเลสให้เกิดขึ้นมา หรือมาทำให้กิเลสที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วให้ระงับหรือดับหายไปทันที (แม้เพียงชั่วคราว) ซึ่งเมื่อจิตไม่มีกิเลส มันก็จะไม่มีความทุกข์ (คือไม่มีความเศร้าโศกฯ) และเมื่อจิตไม่มีความทุกข์ มันก็จะนิพพาน (คือสงบเย็น) ทันที (แม้เพียงชั่วคราว) แต่ถ้าเราสามารถปฏิบัติได้เช่นนี้ติดต่อกันนานๆ (คืออาจจะเป็นเดือนหรือเป็นปีๆก็ได้ มันขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละบุคคล) จนทำให้ ความเคยชินของกิเลส หรือ นิสัยของกิเลส ที่มีอยู่ในจิตใต้สำนึกของเรา เลือนหายไปอย่างสิ้นเชิง (คือจะไม่กลับมาเกิดขึ้นใหม่ได้อีกต่อไป) ก็จะทำให้กิเลสไม่กลับมาเกิดขึ้นกับจิตของเราอีกต่อไปอย่างถาวร (คือตลอดชีวิต) แล้วจิตของเราก็จะนิพพานอย่างถาวร (คือตลอดชีวิต) สรุปได้ว่า การปฏิบัติเพื่อดับทุกข์นั้นต้องมีศีลเป็นพื้นฐาน และมีปัญญากับสมาธิมาดับกิเลส ซึ่งเรื่องศีลกับสมาธินั้นมันเป็นเรื่องง่ายๆ คือเพียงเราตั้งในเพ่งพิจารณาปัญญา ก็ทำให้เรามีทั้งศีลและสมาธิขึ้นมาได้แล้ว ดังนั้นหัวใจในการปฏิบัติก็คือ ปัญญา ที่เป็น ความเข้าใจและเห็นแจ้งว่าร่างกายและจิตใจของเรานี้เป็นอนัตตา ซึ่งเราอาจจะเข้าใจว่าการเกิดปัญญานั้นเป็นเรื่องง่ายๆ ซึ่งนี่เป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก เพราะการจะเกิดปัญญาขึ้นมาได้นั้น จะใช้ ความเชื่อ มาศึกษาไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะความเชื่อเป็นศัตรูของปัญญา จะต้องใช้ ความจริง เท่านั้นมาศึกษา จึงจะเกิดปัญญาขึ้นมาได้ ความจริงกับความเชื่อต่างกันอย่างไร? ความจริง คือ สิ่งที่มีหรือเป็นอยู่ของมันอย่างนั้นตามธรรมชาติอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง โดยความจริงนี้ก็มีทั้ง ความจริงภายนอก ที่ ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, และใจของเรา ไม่สามารถรับรู้หรือสัมผัสได้ กับ ความจริงที่ภายใน ที่ ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, และใจของเรา สามารถสัมผัสหรือรับรู้ได้ โดยความจริงภายนอกนั้น แม้มันจะมีหรือเป็นความจริงก็ตาม แต่เมื่อเราไม่สามารถรับรู้หรือสัมผัสมันได้ด้วย ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, และใจของเราจริงๆ มันก็จะยังไม่ใช่ความจริงสำหรับเรา คือมันก็จะยังเป็นเพียง ความเชื่อ สำหรับเรา จนกว่าเราจะพิสูจน์ความเชื่อนั้น จนพบว่าเป็นความจริงด้วย ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, และใจของเราจริงๆ จึงจะทำให้ความเชื่อนั้นเปลี่ยนมาเป็นความจริงสำหรับเรา ส่วน ความเชื่อ ก็คือ ความมั่นใจว่าเป็นความจริง ซึ่งการที่เราต้องใช้ความเชื่อนั้นก็เป็นเพราะ เรายังไม่พบความจริง (คือเรายังพิสูจน์ให้พบความจริงไม่ได้) ดังนั้นเราจึงจำเป็นจะต้องใช้ความเชื่อไปก่อน จนกว่าเราจะพิสูจน์ความเชื่อนั้นจนพบว่าเป็นความจริงแล้ว จึงจะทำให้ความเชื่อนั้นเปลี่ยนมาเป็นความจริงสำหรับเราได้ สรุปได้ว่า ความจริงคือสิ่งที่สัมผัสได้หรือพิสูจน์ได้ ส่วนความเชื่อเป็นเพียงความมั่นในว่าเป็นความจริง ซึ่งความจริงนี้เป็นองค์ประกอบของปัญญาสำหรับนำมาใช้ดับทุกข์ ส่วนความเชื่อเป็นศัตรูของปัญญา คือถ้าเรายังมีความเชื่อในเรื่องของชีวิตหรือในเรื่องการดับทุกข์ เราก็จะไม่เกิดปัญญา ดังนั้นเราจะต้องปล่อยวางความเชื่อในเรื่องการดับทุกข์ที่มีอยู่ทั้งหมดก่อน แล้วมาศึกษาเฉพาะความจริงที่เราสัมผัสหรือพิสูจน์ได้ในปัจจุบัน ด้วย ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, และใจของเรา เท่านั้น ปัญญามีองค์ประกอบอย่างไร? คำว่า ปัญญา แปลว่า ความรอบรู้ คือหมายถึง ความรอบรู้ในเรื่องการดับทุกข์ (คือถ้าความรู้ใดนำมาใช้ดับทุกข์ไม่ได้ ความรู้นั้นไม่เรียกว่าเป็น ปัญญา แต่จะเรียกว่าเป็น ความรู้ เฉยๆ) โดยสรุปแล้ว ความรู้ในอริยสัจ ๔ นั่นเองที่เรียกว่า ปัญญา แต่ความรู้ที่เป็นหัวใจของปัญญาจะอยู่ที่ ความเข้าใจและเห็นแจ้ง ว่า ร่างกายและจิตใจของเรานี้เป็นอนัตตา ซึ่งความรู้เรื่อง ร่างกายและจิตใจของเรานี้เป็นอนัตตา นั้นคือหัวใจของปัญญา แต่ ความเข้าใจและเห็นแจ้ง นั่นเองที่เป็นองค์ประกอบของปัญญา คือปัญญานั้นมี ๓ ระดับ อันได้แก่ ๑. ปัญญาขั้นจำได้ คือเมื่อเราได้ฟังหรืออ่านคำสอนอริยสัจ ๔ ที่ถูกต้องมาแล้วและเราก็จำได้ ก็เรียกว่าได้เกิด ปัญญาขั้นจำได้ ขึ้นมาแล้ว ซึ่งปัญญาขั้นนี้ยังดับทุกข์ไม่ได้ ๒. ปัญญาขั้นเข้าใจ คือเป็นการนำเอาคำสอนอริยสัจ ๔ ที่จำได้นั้น มาพิจารณาหาเหตุหาผล จนเกิดความเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง และหาจุดผิดหรือค้านไม่ได้ ก็เรียกว่าได้เกิด ปัญญาขั้นเข้าใจ ขึ้นมาแล้ว ซึ่งปัญญาขั้นนี้ก็เริ่มดับทุกข์ได้บ้างแล้ว เพราะการที่เราตั้งใจคิด ก็จะทำให้จิตมีสมาธิที่เหมาะสมขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ๓. ปัญญาขั้นเห็นแจ้ง คือเป็นการนำเอาความเข้าใจในอริยสัจ ๔ นั้น มาทดลองปฏิบัติอย่างจริงจัง จนเกิดผลเป็นความดับหายไปของความทุกข์จริงๆ และทำให้นิพพานปรากฏแก่จิตของเราจริงๆ (แม้เพียงชั่วคราว) ก็เรียกว่าได้เกิด ปัญญาขั้นเห็นแจ้ง (หรือรู้จริง) ขึ้นมาแล้ว ซึ่งปัญญาขั้นเห็นแจ้งจัดว่าเป็นปัญญาสูงสุดของพุทธศาสนา สรุปได้ว่า องค์ประกอบของปัญญาที่ดับทุกข์ได้จริงๆนั้นก็คือ ความเข้าใจ และ เห็นเจ้ง (ส่วนความจำได้นั้นยังนำมาดับทุกข์ไม่ได้) ดังนั้นการศึกษาเพื่อให้เกิดปัญญานั้นก่อนอื่น เราจะต้องปล่อยวางความเชื่อทั้งหมดในเรื่องชีวิตและเรื่องการดับทุกข์ ที่เราเคยศึกษามาทั้งหมดไปก่อน เพื่อให้จิตมีอิสระในการคิด แล้วหันมาศึกษาที่ ร่างกายและจิตใจของเราเองในปัจจุบัน ที่ยังมีสติดีอยู่และมีความทรงจำดีอยู่นี่เท่านั้น ซึ่งความจริงในร่างกายและจิตใจของเรานี้ มันก็มีเหตุผลมาให้เราศึกษาได้อย่างเพียงพอที่จะทำให้เกิด ปัญญาขั้นเข้าใจ ได้แล้ว และเมื่อเรานำเอาความเข้าใจนี้มาพิสูจน์ ด้วยการทดลองปฏิบัติอย่าจริงจัง ก็จะทำให้เราเกิด ปัญญาขั้นเห็นแจ้ง (หรือรู้จริง) ขึ้นมาได้แล้วโดยไม่ยาก อัตตาคืออะไร? ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าสอนว่า จิตเป็นอนัตตา ซึ่งคำว่า อนัตตา แปลว่า ไม่ใช่อัตตา ซึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้านี้ จะตรงข้ามกับคำสอนของศาสนาพราหมณ์ที่สอนว่า จิตเป็นอัตตา ดังนั้นเราจะต้องมาศึกษาคำว่า อัตตา ให้เข้าใจความหมายของมันก่อน เราจึงจะเข้าใจความหมายของคำว่า อนัตตา ได้อย่างถูกต้อง โดยคำว่า อัตตา แปลว่า ตนเอง คือ หมายถึง สิ่งที่เป็นตัวตนที่แท้จริง ซึ่งสิ่งที่เป็นตัวตนที่แท้จริงตามคำสอนของศาสนาพราหมณ์นั้นมีลักษณะ ๓ ประการอันได้แก่ ๑. นิจจัง คือ ตัวตนของมันนั้นเป็นอมตะ คือไม่มีการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งจะไม่มีการแตกสลายหรือดับหายไปอย่างเด็ดขาด ๒. สุขัง คือ ตัวตนของมันนั้นจะตั้งอยู่ไปอย่างสุขสบายหรือไม่มีปัญหาใดๆทั้งสิ้น ๓. อัตตา คือ มีตัวตนเป็นของมันเอง โดยไม่อาศัยสิ่งอื่นใดมาปรุงแต่ง (คือร่วมกันทำหรือสร้าง) ให้เกิดตัวตนของมันขึ้นมา ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า คำสอนเรื่อง อัตตา นี้ ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า แต่เป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์ (หรือฮินดู) ที่เขามี ความเชื่อ ว่า จิตของคนเรานี้เป็นอัตตา ที่มีตัวตนเป็นของมันเอง โดยไม่อาศัยร่างกายหรือสิ่งใดมาปรุงแต่ให้เกิดตัวตนของมันขึ้นมา และจิตนี้ก็เป็น อมตะ คือไม่มีวันดับหายไปอย่างเด็ดขาด รวมทั้งถ้าจิตที่เป็นอัตตานี้มีความบริสุทธิ์ (คือไม่มีกิเลสครอบงำ) มันก็จะบรรลุถึงความสุขโดยไม่มีความทุกข์ใดๆเลยอยู่ชั่วนิรันดร โดยความเชื่อว่า จิตเป็นอัตตา นี้เอง ที่ทำให้เกิดความเชื่อเรื่อง การเกิดใหม่, เรื่องนรก สวรรค์ ฯ (ชนิดที่เป็นสถานที่), เรื่อง เทวดา นางฟ้า พระอินทร์ พระพรหม เป็นต้นขึ้นมา ซึ่งความเชื่อนี้ก็มีต้นเหตุมาจาก ความเชื่อเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติ อันได้แก้ พระเจ้า (หรือเทพเจ้า) ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอำนาจวิเศษเหนือธรรมชาติ (คือเหนือธรรมดา) ที่สร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา รักษาสิ่งต่างๆเอาไว้ และทำลายสิ่งต่างๆไปเมื่อถึงเวลา รวมทั้งคอยดลบันดาลให้สิ่งต่างๆเป็นไป พระพุทธเจ้าสอนเรื่องจิตไว้ว่าอย่างไร? คำว่า อนัตตา แปลว่า ไม่ใช่อัตตา หรือ ไม่ได้เป็นอัตตา คือหมายถึง เป็นการปฏิเสธหรือไม่ยอมรับว่าสิ่งที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ว่าเป็นอัตตา คือพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ทุกสิ่งเป็นอนัตตา คือหมายถึง ไม่มีสิ่งใดเป็นอัตตาตามที่ศาสนาพราหมณ์สอน ซึ่งนี่ก็เท่ากับว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า จิตเป็นอนัตตา คือ หมายถึง จิตไม่ได้เป็นอัตตาตามที่ศาสนาพราหมณ์สอน ซึ่งเราจะต้องยึดหลักนี้เอาไว้ให้ดี ไม่อย่างนั้นเราก็จะศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่เข้าใจ หรือศึกษาแล้วเกิดความเข้าใจผิดเพี้ยนไปทั้งหมดทันที และเมื่อพระพุทธเจ้าสอนว่า จิตเป็นอนัตตา ก็เท่ากับว่า พระพุทธเจ้าไม่ยอมรับความเชื่อเรื่อง การเกิดใหม่, เรื่องนรก สวรรค์ ฯ (ชนิดที่เป็นสถานที่), เรื่อง เทวดา นางฟ้า พระอินทร์ พระพรหม เป็นต้น ตามที่ศาสนาพราหมณ์สอนว่ามีอยู่จริง ทำไมพระพุทธเจ้าจึงสอนว่าจิตเป็นอนัตตา? การที่พระพุทธเจ้าสอนว่า จิตเป็นอนัตตา นั้นก็เป็นเพราะ พระองค์ทรงไม่ยอมรับ สิ่งเหนือธรรมชาติ ว่ามีอยู่จริง แต่ทรงยอมรับ ความจริงพื้นฐานของธรรมชาติ ที่ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุ และพระองค์ก็ได้ทรงใช้ความจริงพื้นฐานนี้ มาเป็นหลักในการศึกษาหาความจริงของ ร่างกายและจิตใจ ของพระองค์เอง จึงทำให้พระองค์ทรงค้นพบความจริงว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุนี้มันเป็น สิ่งปรุงแต่ง โดยสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายนี้ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า มันมีลักษณะ ๓ ประการที่ตรงข้ามกับลักษณะของอัตตา อันได้แก่ ๑. อนิจจัง แปลว่า ไม่เที่ยง คือหมายถึง เมื่อสิ่งใดเกิดขึ้นมาแล้ว สภาพการปรุงแต่งของมันนั้น จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งไม่ช้าก็เร็ว สภาพการปรุงแต่งของมันนั้น ก็ต้องแตกสลาย (ใช้กับวัตถุ) และดับหายไป (ใช้กับจิต) อย่างแน่นอน ๒. ทุกขัง แปลว่า ต้องทนอยู่อย่างยากลำบาก คือหมายถึง เมื่อสิ่งใดเกิดขึ้นมาแล้ว มันก็ต้องทนประคับประคองสภาพการปรุงแต่งของมันเอาไว้ด้วยความยากลำบาก ทั้งจากการแสวงหาเหตุปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดสภาพการปรุงแต่งของมันขึ้นมา และยังต้องทนต่อการถูกสิ่งต่างๆภายนอกมาทำลายสภาพการปรุงแต่งของมันให้เสื่อมสลายและดับหายไปอีกด้วย รวมทั้งมันยังต้องทนต่อความเปลี่ยนแปลงจากภายในของมันเองอีกด้วย ๓. อนัตตา แปลว่า ไม่ใช่อัตตา คือหมายถึง สิ่งปรุงแต่งทั้งหลายนั้น มันไม่ได้เป็นอัตตาหรือตัวตนที่แท้จริงเลย เพราะมันต้องอาศัยสิ่งอื่น (หลายๆสิ่ง) มาปรุงแต่ง (คือร่วมกันทำ) ให้เกิดสภาพการปรุงแต่งของมันขึ้นมา เมื่อเรานำเอาสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายมาเพ่งพิจารณาถึงความเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตาอย่างตั้งใจ เราก็จะพบความจริงสูงสุดของธรรมชาติอีกอย่างคือ ทุกสิ่งล้วนเป็น สุญญตา คือ ว่างจากอัตตาหรือตัวตนที่แท้จริงของมัน คือเรียกว่า ไม่มีอัตตาหรือตัวตนที่แท้จริงของทุกสิ่ง จะมีก็เพียง ตัวตนชั่วคราว (คือมันก็มีตัวตนอยู่เหมือนกันแต่ว่าเป็นเพียงตัวตนชั่วคราวเท่านั้น) หรือ ตัวตนมายา (คือมันเป็นสิ่งหลอกลวงว่ามันเป็นตัวตนที่แท้จริง) หรือ ตัวตนสมมติ (คือเป็นการสมมติเรียกว่าเป็นตัวตนเพื่อใช้ในการสื่อสาร) เท่านั้น และเมื่อเราเข้าใจความหมายของคำว่า อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา, สุญญตา แล้ว พระพุทธเจ้าก็สอนให้เรานำเอา ขันธ์ ๕ หรือ ส่วนประกอบของร่างกายและจิตใจของเรานี้ มาพิจารณาถึงความเป็น อนิจจัง,ทุกขัง,อนัตตา, สุญญตา อย่างละเอียด ทั้งภายใน (คือในร่างกายและจิตใจของเรา) และของภายนอก (คือของคนอื่น) ก็จะทำให้เราเกิด ปัญญาขั้นเข้าใจ ขึ้นมาว่า มันไม่ได้มีตัวเราอยู่จริงในขันธ์ ๕ นี้ ต่อจากนั้นก็ให้เรานำเอาความเข้าใจนี้มาเพ่งดูที่ร่างกายและจิตใจของเราจริงๆ ก็จะทำให้กิเลสระงับหรือดับหายทันที (แม้เพียงชั่วคราว) แล้วจิตก็จะไม่มีความทุกข์ และเมื่อจิตไม่มีความทุกข์ มันก็จะนิพพานหรือสงบเย็นทันที (แม้เพียงชั่วคราว) ซึ่งนี่คือการเกิด ปัญญาขั้นเห็นแจ้ง นั่นเอง แต่ก่อนอื่นเราก็ต้องมาศึกษาเรื่องขันธ์ ๕ นี้ให้เข้าใจก่อน เราจึงจะนำมาพิจารณาให้เกิดปัญญาขั้นเข้าใจขึ้นมาได้ ขันธ์ ๕ คืออะไร? คำว่า ขันธ์ แปลว่า กลุ่ม, กอง, ส่วน คือชีวิต (หรือร่างกายและจิตใจ) ของเราทุกคนนี้ ประกอบขึ้นมาจากส่วน ๕ ส่วน ที่เรียกว่า ขันธ์ ๕ อันได้แก่ ๑. รูป คือ ส่วนที่เป็นวัตถุที่สัมผัสได้ด้วย ตา, หู, จมูก, ลิ้น, และกาย โดยสิ่งเป็นรูปก็คืออวัยวะทั้งหมดที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นร่างกายของเรา ซึ่งอวัยวะทั้งหมดนี้สรุปแล้วก็เกิดมาจาก ธาตุทางวัตถุ ๔ อย่าง คือ ธาตุดิน (คือของแข็ง), ธาตุน้ำ (คือของเหลว), ธาตุไฟ (คือความร้อน), และ ธาตุลม (คือก๊าซ) ๒. วิญญาณ คือ การรับรู้ ที่เกิดขึ้นจากการที่ระบบประสาท ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, และใจ ได้สัมผัสกับสิ่งหรืออธรรมชาติที่ตรงกัน อันได้แก่ รูป, เสียง, กลิ่น, รส, สิ่งสัมผัสกาย (เช่น เย็น ร้อน อ่อน แข็งฯ), สิ่งสัมผัสใจ (คือ การรับรู้, การจำได้, ความรู้สึก, การคิดนึกปรุงแต่งของจิต) อย่างเช่น เมื่อรูปมาสัมผัสตา ก็จะเกิดการรับรู้รูป (หรือเกิดการเห็นรูป) ขึ้นมาทันที หรือเมื่อมีเสียงมาสัมผัสหู ก็จะเกิดการรับรู้เสียง (หรือการได้ยินเสียง) ขึ้นมาทันที เป็นต้น (ซึ่งวิญญาณนี้นักวิทยาศาสตร์บอกว่ามันก็คือไฟฟ้าอ่อนๆที่ร่างกายที่ยังไม่ตายสร้างขึ้นมา) ๓. สัญญา คือ การจำสิ่งที่รับรู้ได้ คือเมื่อเกิดการรับรู้ที่ระบบประสาทใดขึ้นมาแล้ว ก็จะเกิดการจำสิ่งที่รับรู้อยู่นั้นขึ้นมาด้วยทันที อย่างเช่น จำรูปที่กำลังเห็นอยู่นั้นว่ารูปของใครหรืออะไร หรือจำได้ว่าเสียงที่ได้ยินอยู่นั้นเป็นเสียงของอะไรและมีความหมายอย่างไร เป็นต้น (ซึ่งสัญญานี้นักวิทยาศาสตร์บอกว่า มันเป็นข้อมูลที่เนื้อสมองของร่างกายบันทึกเอาไว้) ๔. เวทนา คือ ความรู้สึก คือเมื่อเกิดการจำสิ่งที่รับรู้ใดขึ้นมาแล้ว ก็จะเกิดความรู้สึกต่อสิ่งที่จำได้นั้นขึ้นมาด้วยทันที ซึ่งเวทนานี้ก็สรุปได้ ๓ อย่าง คือ ๑) สุขเวทนา คือความรู้สึกที่น่าพึงพอใจ หรือความรู้สึกที่ทนได้ง่าย หรือความสุข ๒) ทุกขเวทนา คือความรู้สึกที่ไม่น่าพึงพอใจ หรือความรู้สึกที่ทนได้ยาก (โดยความทุกข์ในอริยสัจ ๔ หมายถึง ทุกขเวทนาทางใจที่รุนแรง ที่เกิดจากกิเลส) ๓) อทุกขมสุขเวทนา คือความรู้สึกที่ไม่ใช่ทั้งสุขเวทนาและทุกขเวทนา คือเป็นเวทนาจืดๆที่อยู่ระหว่างเวทนาทั้งสอง โดยตัวอย่างของการเกิดเวทนาก็ได้แก่ เมื่อตาได้เห็นรูปที่สวยงามและจำได้ว่าเป็นรูปอะไร ก็จะทำให้เกิดสุขเวทนาทางตา (หรือความสุขทางตา) ขึ้นมาทันที หรือเมื่อหูได้ยินเสียงที่มีคนมาด่าเรา แล้วเราก็จำได้ว่าเป็นเสียงของใครและด่าเราเรื่องอะไร ก็จะทำให้เกิดทุกขเวทนาทางตาขึ้นมาทันที เป็นต้น (ซึ่งเวทนานี้นักวิทยาศาสตร์บอกว่ามันก็คือสารเคมีชนิดต่างๆที่สมองสร้างขึ้นมาขณะที่มันทำงานอยู่) ๕. สังขาร คือ การปรุงแต่งหรืออาการของจิต คือเมื่อเกิดเวทนาใดขึ้นมาแล้ว เมื่อจิตไม่มีสติปัญญา จิตก็จะเกิดอาการต่อเวทนาขึ้นมาด้วยทันที คืออาการพึงพอใจหรืออยากได้สุขเวทนา, ไม่พึงพอใจหรือไม่อยากได้ทุกขเวทนา, และลังเลใจต่ออทุกขมสุขเวทนา ซึ่งอาการต่อเวทนานี้เองที่เรียกว่า กิเลส หรือ ตัณหา ที่ทำให้จิตใจของเราเกิดความทุกข์ (หรือความเศร้าโศก) ตามหลักอริยสัจ ๔ ขึ้นมา (ซึ่งสมองของคนเรานี้ นักวิทยาศาสตร์บอกว่ามันทำงานเหมือนคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋วจำนวน แสนล้านเครื่อง ที่ทำงานร่วมกันอยู่ ซึ่งการปรุงแต่งของจิตก็คือการทำงานหรือประมวลผลของสมองนั่นเอง) ขันธ์ทั้ง ๕ นี้ย่อลงเป็น ร่างกาย กับ จิตใจ ซึ่งคำว่า จิตใจ หมายถึง สิ่งรู้สึกนึกคิดได้ (คือเมื่อมันทำหน้าที่คิดนึกก็เรียกว่า จิต แต่เมื่อมันทำหน้าที่รับรูและรู้สึก ก็เรียกว่า ใจ ซึ่งเราก็มักจะเรียกรวมกันว่าจิตใจ) โดยร่างกายก็คือ รูป ส่วนจิตใจก็คือ วิญญาณ, สัญญา, เวทนา, สังขาร ซึ่งร่างกายกับจิตใจนี้มันต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่ จะแยกกันไม่ได้ ถ้าแยกกันเมื่อใด ก็จะทำให้ทั้งคู่แตกสบาย (คือร่างกาย) และดับหายไป (คือจิตใจ) ด้วยกันทั้งคู่ทันที ในขันธ์ ๕ มันมีตัวเราจริงๆหรือไม่? เมื่อเราพิจารณาขันธ์ ๕ แต่ละขันธ์เราก็จะพบความจริงว่า ร่างกายเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ต้องแก่ และตายอย่างแน่นอน ซึ่งนี่ก็แสดงถึงความจริงว่า ร่างกายเป็นอนิจจัง (คือไม่เที่ยง) รวมทั้งจิตใจก็มี การเกิดขึ้นเมื่อร่างกายตื่น แต่พอร่างกายหลับ จิตก็จะดับหายไปทันที (ชั่วคราว) แต่ถ้าร่างกายตาย จิตก็จะดับหายไปอย่างถาวร ซึ่งนี่ก็แสดงถึงความจริงว่า จิตใจของเรานี้มันเป็น อนิจจัง (คือไม่เที่ยง) อีกอย่าง เมื่อร่างกายยังตั้งอยู่ มันก็ยังมีภาวะที่ต้องทนอยู่อย่างยากลำบากตลอดเวลา เช่น ต้องทนต่อความหิว ความกระหาย ความร้อน ความหนาว ความเจ็บ ความป่วย และการถูกสิ่งภายนอกมากมายมาทำร้าย เป็นต้น รวมทั้งยังต้องทนต่อการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายเองด้วย ซึ่งนี่ก็แสดงถึงภาวะทุกขังร่างกาย รวมทั้งจิตใจในแต่ละวันเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วมันก็จะมีความรู้สึกทนได้ยากหรือทนได้ลำบากอยู่ตลอดเวลา และ เมื่อภาวะนี้มีมากๆ มันก็จะต้องพักผ่อน (คือดับ) เพื่อลดความรู้สึกที่ทนได้ยากนี้ให้ลดน้อยลง ซึ่งนี่ก็แสดงถึงความจริงว่า จิตใจมีภาวะของทุกขัง อีกอย่างเมื่อเราพิจารณาว่า แต่ละขันธ์ล้วนต้องอาศัยขันธ์อื่นหรือสิ่งอื่นมาเป็นเหตุให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น คือสังขารก็ต้องอาศัยเวทนามาเป็นเหตุให้เกิดขึ้น, เวทนาก็ต้องอาศัยสัญญามาเป็นเหตุให้เกิดขึ้น, สัญญาก็ต้องอาศัยวิญญาณมาเป็นเหตุให้เกิดขึ้น, ส่วนวิญญาณก็ต้องอาศัยรูป (คือร่างกายที่ยังไม่ตาย) มาเป็นเหตุให้เกิดขึ้น, และรูปก็ต้องอาศัยธาตุทั้ง ๔ มาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น ซึ่งนี่ก็แสดงถึงความจริงว่า ทั้งร่างกายและจิตใจ ที่สมมติเรียกว่าเป็น ตัวเรา-ของเรา นี้ มันเป็น อนัตตา (คือไม่ใช่อัตตา) และ สุญญตา (คือว่างจากอัตตา) สรุปได้ว่าใน ขันธ์ ๕ คือในร่างกายและจิตใจ ที่สมมติเรียกว่าเป็น ตัวเรา-ของเรา นี้ มันไม่ได้มี ตัวเรา-ของเราอยู่จริงๆเลย (คือมันเป็นสุญญตา) มีแต่ ตัวเรา-ของเราชั่วคราว หรือ ตัวเรา-ของเรามายา หรือ ตัวเรา-ของเราสมมติ เท่านั้น ซึ่งความเข้าใจนี้เองที่เป็นหัวใจของปัญญา สำหรับนำมาปฏิบัติร่วมกับสมาธิเพื่อดับทุกข์ (โดยมีศีลเป็นพื้นฐาน) ตามหลักอริยสัจ ๔ ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ปัญญามาดับทุกข์ได้อย่างไร? ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่า การที่จิตของเราเกิดกิเลสขึ้นมานั้นก็เป็นเพราะ เรามีความเข้าใจผิดว่า จิตเป็นอัตตา มาเห็นเหตุทำให้จิตเกิดกิเลสขึ้นมา คือความเข้าใจผิดว่า จิตเป็นอัตตา ก็หมายถึง ความเข้าใจผิดว่าจิตนี้เป็นตัวเราจริงๆ คือเป็นความเข้าใจผิดว่า จิตมันมีตัวตนเป็นของมันเอง โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งอื่นใดมาปรุงแต่งให้เกิดตัวตนของมันขึ้นมา และยังเข้าใจผิดว่า จิตนี้เป็นอมตะ คือไม่มีวันดับหายไปอย่างเด็ดขาด แม้ว่าร่างกายจะตายไปแล้วก็ตาม จากความเข้าใจผิด (หรือความเห็นผิด) ว่าจิตเป็นอัตตานี้เอง ที่มันเป็นเหตุมาปรุงแต่งให้จิตเกิด ความเห็นแก่ตัว ขึ้นมา และความเห็นแก่ตัวนี้เอง ที่เป็นเหตุมาปรุงแต่งให้จิตเกิด กิเลส หรือ ตัณหา ประเภท ความไม่พึงพอใจ ต่อ ภาวะที่ไม่น่าพึงพอใจ ที่กำลังเกิดขึ้นกับชีวิตของเราขึ้นมา แล้วกิเลสหรือตัณหานี้ก็มาเป็นเหตุทำให้จิตเกิด ความทุกข์ (คือความเศร้าโศกฯ) ขึ้นมาอีกที แต่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราเกิด ความเข้าใจอย่างถูกต้อง ว่า จิตของเรานี้เป็นอนัตตา-สุญญตา ซึ่งความเข้าใจนี้เอง เมื่อเรานำเอามาเพ่งพิจารณาโดยน้อมเข้ามาดูที่จิตใจของเราเองด้วยความตั้งใจอย่างที่สุด (คือด้วยสมาธิ) ก็จะทำให้จิตใต้สำนึกของเรามันยอมรับความจริง (เพราะมันเข้าใจด้วยเหตุผลแล้วว่าไม่มีตัวเราอยู่จริง) แล้วจิตมันก็จะคลาย ความเห็นแก่ตัว ลงทันที แล้ว กิเลส (คือความพึงพอใจ-ไม่พึงพอใจ) ก็จะดับหายตามไปด้วยทันที (แม้เพียงชั่วคราว) เมื่อจิตไม่มีกิเลส ก็จะทำให้ความทุกข์ (ความเศร้าโศกฯ) ดับหายตามไปด้วยทันที ซึ่งเมื่อจิตไม่มีความทุกข์ มันก็จะนิพพาน (คือสงบเย็น) ทันที (แม้เพียงชั่วคราว) แต่ถ้าเราสามารถปฏิบัติได้เช่นนี้อย่างต่อเนื่องนานๆ (คืออาจเป็นเดือนหรือปีก็ได้ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละคน) ก็จะทำให้ความเคยชินหรือนิสัยของกิเลส ที่มีอยู่ในจิตใต้สำนึกของเราดับหายไปอย่างสิ้นเชิง แล้วก็จะทำให้จิตของเรานิพพานอย่างถาวร (คือตลอดชีวิต) ได้ จบภาคต้น ภาคปลาย หลักพุทธศาสนา ศาสนาคืออะไร? คำว่า ศาสนา หมายถึง คำสอน คือเป็นคำสอนให้เรานำเอาไปปฏิบัติ โดยมีผลเป็นการมีความสุขและไม่มีความทุกข์หรือมีความทุกข์ลดน้อยลง โดยโลกนั้นมีหลายศาสนา แต่ทุกศาสนาจะต้องมี สิ่งสูงสุด เอาไว้ให้ผู้นับถือเคารพและเกรงกลัว ซึ่ง สิ่งสูงสุด ก็หมายถึง สิ่งที่มีอำนาจสูงสุดในโลกและในจักรวาล ที่สร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา รักษาทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ และทำลายสิ่งต่างๆไปเมื่อถึงเวลา ซึ่งสิ่งสูงสุดของแต่ละศาสนาในโลกนั้น ถ้ามองอย่างผิวเผินอาจจะไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงได้เกิดประเภทของศาสนาในโลกขึ้นมา ๒ ประเภท คือ ศาสนาประเภทเทวนิยม กับ ศาสนาประเภทอเทวนิยม โดยศาสนาประเภทเทวนิยมนั้น เป็นศาสนาที่ยอมรับนับถือว่า สิ่งเหนือธรรมชาติ ที่เรียกว่า พระเจ้า (หรือเทพเจ้า) ว่าเป็น สิ่งสูงสุด ที่ทุกคนต้องเคารพและเกรงกลัว ซึ่งศาสนาประเภทนี้จะสอนให้เชื่อมั่นว่า พระเจ้ามีจริง และให้เราปฏิบัติตามที่พระเจ้าสั่งไว้ โดยมีศาสดา (ผู้สอน) ที่เป็นผู้นำคำสั่งจากพระเจ้ามาสอนแก่มนุษย์ ถ้าใครปฏิบัติตามคำสั่งของพระเจ้า ก็จะได้รับรางวัลคือมีความสุข แต่ถ้าใครไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกลงโทษคือมีความทุกข์ ซึ่งศาสนาพราหมณ์ (หรือฮินดู), ศาสนาคริสต์, ศาสนาอิสลาม เป็นต้น จัดเป็นศาสนาประเภทเทวนิยม ส่วนศาสนาประเภทอเทวนิยม (หรือธรรมชาตินิยม) นั้น เป็นศาสนาที่ยอมรับนับถือ ธรรมชาติ (หรือกฎธรรมชาติ) ว่าเป็น สิ่งสูงสุด ที่ทุกคนต้องเคารพและเกรงกลัว ซึ่งศาสนาประเภทนี้จะสอนให้มนุษย์เข้าใจว่า มนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาเพื่อให้มาทำหน้าที่ตามที่ธรรมชาติกำหนดไว้ โดยมีศาสดา (ผู้สอน) ที่เป็นผู้ค้นพบกฎของธรรมชาติ และนำกฎนั้นมาสอนแก่มนุษย์ ถ้าใครปฏิบัติหน้าที่ตามที่ธรรมชาติกำหนดไว้ ก็จะได้รับผลเป็นการมีความสุขและไม่มีความทุกข์หรือมีความทุกข์ลดน้อยลง แต่ถ้าใครไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ธรรมชาติกำหนดไว้ ก็จะได้รับผลเป็นการมีความทุกข์ ซึ่งพุทธศาสนาก็จัดว่าเป็นศาสนาประเภทอเทวนิยม โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นศาสดา สรุปได้ว่า ศาสนาคือคำสอนให้มนุษย์ปฏิบัติตาม เพื่อให้ชีวิตมีความสุขและไม่มีความทุกข์ ซึ่งทุกศาสนาก็ต้องมี สิ่งสูงสุด เอาไว้ให้ผู้นับถือเคารพและเกรงกลัว เพื่อที่จะได้ไม่ปฏิบัติผิดจากคำสอนของศาสนา ซึ่งถ้าเราจะพิจารณาให้ดีแล้วเราก็จะพบว่า สิ่งสูงสุดของแต่ละศาสนานั้น แม้ดูผิวเผินว่าไม่เหมือนกัน แต่ถ้าดูอย่างลึกซึ้งแล้วเราก็จะพบว่ามีลักษณะเหมือนกัน ซึ่งถ้าเราจะมองสิ่งสูงสุดของแต่ละศาสนาให้ลึกซึ่ง เราก็จะเข้าใจว่า หัวใจของคำสอนทุกศาสนานั้นเหมือนกัน คือสอนให้รักผู้อื่นให้อภัยและช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งการมองเช่นนี้จะช่วยให้โลกมีสันติภาพได้ พุทธศาสนามีคำสอนกี่ระดับ? ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่า พุทธศาสนาในปัจจุบันแยกคำสอนออกเป็น ๒ ระดับ คือ คำสอนระดับพื้นฐาน (หรือระดับศีลธรรม) กับ คำสอนระดับสูง (หรือระดับปรมัตถธรรม) โดยคำสอนระดับพื้นฐานหรือระดับศีลธรรมนั้น เป็นคำสอนเรื่องการละเว้นการทำความชั่ว และทำแต่ความดี โดยมีผลทำให้ผู้ปฏิบัติมีความปกติสุขและทำให้สังคมสงบสุข ซึ่งคำสอนระดับศีลธรรมของพุทธศาสนาในปัจจุบันได้มีการนำเอาคำสอนของศาสนาพราหมณ์เรื่องการเกิดใหม่เพื่อรับผลกรรม, เรื่องนรก สวรรค์ (ชนิดที่เป็นสถานที่), เรื่องเทวดา นางฟ้า พระอินทร์ พระพรหม (ชนิดที่เป็นตัวตนบุคคล) เป็นต้น เข้ามาประยุกติเป็นคำสอนระดับศีลธรรมของพุทธศาสนา เพราะเห็นว่ามีประโยชน์ตรงที่มีคนนับถือกันมาก ซึ่งคำสอนระดับศีลธรรมนี้เป็นคำสอนที่เอาไว้สอนเด็กหรือชาวบ้านที่ยังมีความรู้พื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ไม่เพียงพอ โดยคำสอนระดับศีลธรรมนี้จะสอนให้ใช้ศรัทธาหรือความเชื่อในการปฏิบัติ ส่วนคำสอนระดับสูงนั้นหรือระดับปรมัตถธรรมนั้น เป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่า อริยสัจ ๔ ที่เป็นคำสอนเรื่อง การดับทุกข์ (หรือความพ้นทุกข์) ของจิตใจชีวิตปัจจุบันโดยใช้ปัญญา (คือไม่ใช้ความเชื่อ, มีเหตุผล, พิสูจน์ได้, ดับทุกข์ได้) ซึ่งคำสอนระดับสูงของพระพุทธเจ้านี้เอาไว้สอนเฉพาะปัญญาชนหรือคนที่มีความรู้พื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์เพียงพอเท่านั้น จะไม่สอนบุคคลระดับชาวบ้าน เพราะยังมีความรู้พื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ไม่เพียงพอ สรุปได้ว่าเราต้องแยกให้ออกว่า พุทธศาสนาในปัจจุบันมีคำสอน ๒ ระดับ คือ คำสอนระดับพื้นฐาน ที่ประยุกติมาจากคำสอนของศาสนาพราหมณ์ ที่สอนให้เชื่อเรื่องการทำดีแล้วได้ขึ้นสวรรค์ ทำชั่วแล้วตกนรก ที่เอาไว้สอนชาวบ้านหรือคนที่มีความรู้พื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ไม่เพียงพอ กับ คำสอนระดับสูง อันเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าเรื่องการดับทุกข์ของจิตใจในชีวิตปัจจุบันโดยใช้ปัญญา ที่เอาไว้สอนเฉพาะปัญญาชนหรือคนที่มีความรู้พื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์เพียงพอเท่านั้น พระพุทธเจ้าคือใคร? ก่อนจะศึกษาให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร? เราจะต้องรู้จักก่อนว่า พระพุทธเจ้าคือใคร? ซึ่งโดยสรุปแล้ว พระพุทธเจ้า ก็คือคนธรรมดาเหมือนกับเรานี่เอง แต่พระองค์จะต่างกับเราตรงที่ พระองค์ทรงเป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาดหรือมีความรอบรู้ในสิ่งที่ควรรู้ ซึ่งสิ่งที่ควรรู้นั้นก็คือ ความรู้ในเรื่องชีวิต อันได้แก่ความรู้ว่า เราคืออะไร? ต้นกำเนิดของชีวิตคืออะไร? เกิดมาเพื่ออะไร? อะไรคือสิ่งสูงสุดที่คู่ควรกับชีวิต? และจะได้สิ่งสูงสุดนั้นมาได้อย่างไร? นั่นเอง โดยคำว่า พระพุทธเจ้า นั้นเป็นคำผสมของคำว่า พระ ที่แปลว่า ผู้ประเสริฐ กับคำว่า พุทธะ ที่แปลว่า ตื่น (ซึ่งคำว่า ตื่น หมายถึง ผู้มีปัญญารู้แจ้งชีวิต) และคำว่า เจ้า ที่หมายถึง ผู้ที่มีเชื้อสายกษัตริย์ ซึ่งเมื่อตัดคำว่า พระ กับ คำว่า เจ้า ออกแล้วก็จะเหลือคำที่สำคัญคือคำว่า พุทธะ ที่แปลว่า ตื่น ซึ่งคำว่า ตื่น นี้หมายถึง ภาวะที่จิตเกิดความรู้แจ้งชีวิตตามความเป็นจริง โดยไม่อาศัยความเชื่อตามใครๆ ซึ่งความรู้แจ้งชีวิตตามความเป็นจริงนี้ก็คือการมี ปัญญา นั่นเอง ส่วนคำว่า พุทธศาสตร์ ก็หมายถึง หลักวิชาของผู้มีปัญญารู้แจ้งชีวิตหรือผู้ที่ตื่นแล้ว จากความหมายของคำว่าพุทธะก็ทำให้เราเข้าใจได้ว่า ถ้าจิตของใครก็ตามที่เกิด ความรู้แจ้งชีวิตตามความเป็นจริง ก็แสดงว่าจิตนั้นเป็น พุทธะ คือ ตื่นแล้ว ซึ่งคนที่ตื่นหรือเป็นพุทธะแล้วก็เปรียบเหมือนคนที่ตาดีที่สามารถมองเห็นโลกหรือสิ่งต่างๆตามความเป็นจริงได้แล้ว ซึ่งคนที่ตื่นหรือเป็นพุทธะแล้วเขาก็จะไม่ใช้ความเชื่อในการดำเนินชีวิต เพราะเขามีดวงตามองเห็นโลกตามความเป็นจริงแล้ว และหน้าที่ของผู้ที่ตื่นแล้วก็คือ การสอนให้คนที่ยังหลับอยู่ให้ตื่นขึ้นมามองเห็นโลกตามความเป็นจริง โดยคำว่าพุทธะมีความหมายตรงข้ามกับคำว่า ไสยะ ที่แปลว่า หลับ ที่หมายถึง ยังไม่ตื่น (คือยังไม่เป็นพุทธะ) คือถ้าใครยังไม่ตื่นหรือยังไม่เป็นพุทธะ ก็จัดเป็นว่า ไสยะ หรือ คนหลับ หรือคนที่ยังไม่รู้แจ้งชีวิตตามความเป็นจริง ซึ่งคนที่ยังไม่ตื่นก็เปรียบเหมือนกับคนที่ตาบอดที่มองไม่เห็นโลกตามความเป็นจริง ส่วนคำว่า ไสยศาสตร์ ก็หมายถึง หลักวิชาของผู้ที่ยังหลับอยู่หรือคนที่ยังไม่มีปัญญารู้แจ้งชีวิต โดยคนที่ยังหลับหรือไสยะจะใช้ความเชื่อตามคนอื่นในการดำเนินชีวิต ซึ่งการใช้ความเชื่อในการดำเนินชีวิตนั้น มันมีความเสี่ยงที่เราจะได้รับคำสอนที่ผิดหรือถูกก็ได้ คือถ้าบังเอิญเราได้รับคำสอนที่ถูกต้อง ก็โชคดีไป (คือทำให้ชีวิตมีความสุขมากและมีความทุกข์น้อย) แต่ถ้าบังเอิญเราได้รับคำสอนที่ผิดเพี้ยน ก็โชคร้ายไป (คือทำให้ชีวิตมีความสุขน้อยแต่มีความทุกข์มาก) ซึ่งแน่นอนว่าพระพุทธเจ้าจะไม่สอนให้เรามีความเชื่ออย่างเด็ดขาด เพราะมันมีความเสี่ยงที่เราจะได้รับคำสอนที่ผิดเพี้ยนมาปฏิบัติโดยไม่รู้ตัว พระพุทธเจ้าสอนเรื่องความเชื่อไว้ว่าอย่างไร? ในสมัยพุทธกาลได้มีเจ้าลัทธิมากมายที่สอนเรื่องการดับทุกข์ ซึ่งเจ้าลัทธิแต่ละคนต่างก็จะโอ้อวดว่าคำสอนลัทธิตนเองนั้นดับทุกข์ได้จริง แล้วก็จะดูถูกว่าคำสอนของเจ้าลัทธิอื่นนั้นดับทุกข์ไม่ได้จริง ซึ่งเมื่อมีผู้ไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า เราจะรู้ได้อย่างไรคำสอนของใครดับทุกข์ได้จริง คำสอนของใครดับทุกข์ไม่ได้จริง? ซึ่งพระองค์ได้ทรงสอนวิธีการค้นหาว่า คำสอนของใครดับทุกข์ได้จริงหรือไม่ได้จริงไว้ใน หลักกาลามสูตร (คือเป็นคำสอนที่สอนแก่ชาวกาลามะของอินเดียในยุคนั้น) ซึ่งมีใจความโดยสรุปดังนี้ ๑. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า มีคนเขาบอกมา ๒. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า เห็นเขาทำตามๆกันมา ๓. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า มีคนกำลังล่ำลือกันอยู่อย่างกระฉ่อน ๔. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า มีตำราอ้างอิง ๕. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า มีเหตุผลตรงๆ (ตรรกะ) รองรับ ๖. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า มีเหตุผลแวดล้อมรองรับ ๗. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า สามัญสำนึกของเรามันยอมรับ ๘. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า มันตรงกับความเห็นที่เรามีอยู่ก่อนแล้ว ๙. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า คนที่บอกนั้นดูภายนอกน่าเชื่อถือ ๑๐. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า คนที่สอนนี้เป็นครูอาจารย์ที่เรานับถือ เมื่อเราได้พบคำสอนใด ก่อนอื่นก็ให้เรานำคำสอนนั้นมาพิจารณาดูก่อน ว่าคำสอนนั้นมีโทษหรือมีประโยชน์ ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่ามีโทษ ไม่มีประโยชน์ ก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่า มีประโยชน์ ไม่มีโทษ ก็ให้นำมาทดลองปฏิบัติดูก่อน ถ้าทดลองปฏิบัติตามอย่างเต็มตามมาตรฐานแล้วพบว่า ความทุกข์ไม่ดับลงจริง (แม้เพียงชั่วคราว) ก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าทดลองปฏิบัติดูแล้วพบว่า ความทุกข์ดับลงจริง (แม้เพียงชั่วคราว) ก็ให้ยอมรับเอามาปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นต่อไป สรุปๆได้ว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราใช้ความเชื่อในการศึกษาและปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ แต่สอนให้เราใช้ปัญญาในการศึกษาและปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ โดยหลักของปัญญาก็คือ ไม่ใช้ความเชื่อ, ศึกษาจากสิ่งที่มีอยู่จริง, ศึกษาโดยใช้เหตุใช้ผล, ต้องพิสูจน์จนเห็นผลจริงก่อนยอมรับ, และดับทุกข์ได้ ซึ่งหลักการนี้ก็ตรงกับหลักการค้นหาความจริงของวิทยาศาสตร์นั่นเอง ซึ่งนี่ก็ทำให้เราเข้าใจได้ทันทีว่า พุทธศาสนานั้นเป็นวิทยาศาสตร์ คือเป็นวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตใจ ที่สอนเรื่องการดับทุกข์ของจิตใจโดยใช้หลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งก็จะต่างกับลัทธิอื่น ที่สอนให้ใช้ความเชื่อในการศึกษาและปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ สมัยพุทธกาลผู้คนมีความเชื่อว่าอย่างไร? ในสมัยพุทธกาลของประเทศอินเดียนั้นเป็น ยุคอุปนิษัท ที่ผู้คนส่วนใหญ่มีความเชื่อว่า จิตของคนและสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายเป็นอัตตา (คือเป็นตัวตนอมตะ) ที่สามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วเพื่อไปเกิดเป็นจิตในร่างกายใหม่ๆได้เรื่อยไป ซึ่งจากความเชื่อนี้เองที่ทำให้เกิดความเชื่อเรื่องการเกิดใหม่, เรื่องเทวดา นางฟ้า พระอินทร์ พระพรหม (ชนิดที่เป็นตัวตนบุคคล) รวมทั้งความเชื่อเรื่อง นรก สวรรค์ (ชนิดที่เป็นสถานที่) เป็นต้น ขึ้นมา จุดเริ่มต้นในการศึกษาว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร? ก็คือ เราจะต้องศึกษาคำว่า อัตตา ให้เข้าใจก่อน เพราะคำนี้จะนำเราไปสู่คำสอนที่เป็นหัวใจของคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้าได้ โดยคำว่า อัตตา หมายถึง ตัวตนที่แท้จริง โดยสิ่งที่เป็นอัตตานั้นมีลักษณะ ๓ ประการคือ (๑) อัตตา คือ มีตัวตนเป็นของมันเอง โดยไม่อาศัยสิ่งอื่นใดมาปรุงแต่ง (คือร่วมกันทำหรือสร้าง) ให้เกิดตัวตนของมันขึ้นมา (๒) นิจจัง คือ ตัวตนของมันนั้นเป็นอมตะ คือไม่มีการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งไม่มีการแตกสลายหรือดับหายไปอย่างเด็ดขาด (๓) สุขัง คือ ตัวตนของมันนั้นจะตั้งอยู่ไปอย่างสุขสบายหรือไม่มีปัญหาใดๆทั้งสิ้น สรุปได้ว่า ถ้าสิ่งใดเป็นอัตตา มันจะมีลักษณะ ๓ ประการนี้ ดังนั้นถ้าเราพบคำว่า อัตตา ก็ขอให้เราเข้าใจว่าหมายถึง ตัวตนที่แท้จริง หรือ ตัวตนอมตะ ซึ่งคำสอนเรื่อง จิตเป็นอัตตา นี้เป็นหลักคำสอนของศาสนาพราหมณ์ (หรือฮินดู) ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า จิตเป็นอนัตตา คือหมายถึง จิตไม่ได้เป็นอัตตาตามที่ศาสนาพราหมณ์สอน ซึ่งเราจะต้องยึดหลักนี้เอาไว้ให้ดี ไม่อย่างนั้นเราก็จะศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่เข้าใจ หรือศึกษาแล้วเกิดความเข้าใจผิดเพี้ยนไปทั้งหมดทันที พระพุทธเจ้าสอนเรื่องจิตว่าเป็นอะไร? พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ทุกสิ่งเป็นอนัตตา คือคำว่า อนัตตา แปลว่า ไม่ใช่อัตตา คือหมายถึง เป็นการปฏิเสธหรือไม่ยอมรับว่า สิ่งที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้ว่ามันเป็นอัตตา โดยประโยคที่ว่า ทุกสิ่งเป็นอนัตตา นั้นก็หมายถึง ไม่มีสิ่งใดเป็นอัตตาตามที่ศาสนาพราหมณ์สอน เมื่อศาสนาพราหมณ์สอนว่า จิตเป็นอัตตา แต่พระพุทธเจ้ากลับทรงสอนว่า จิตเป็นอนัตตา (คือไม่ใช่หรือได้เป็นอัตตา) และเมื่อพระองค์ทรงไม่ยอมว่าจิตเป็นอัตตา ก็แสดงว่าพระองค์ไม่ทรงยอมรับคำสอนเรื่องการเกิดใหม่, เรื่องเทวดา นางฟ้า พระอินทร์ พระพรหม (ชนิดที่เป็นตัวตนบุคคล) รวมทั้งความเชื่อเรื่อง นรก สวรรค์ (ชนิดที่เป็นสถานที่) เป็นต้น ตามที่ศาสนาพราหมณ์สอน แต่เมื่อพระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานไปแล้วหลายร้อยปี ก็ได้มีการนำเอาคำสอนเรื่องจิตเป็นอัตตาของศาสนาพราหมณ์เข้ามาผสมเป็นคำสอนของพุทธศาสนาในระดับศีลธรรม ซึ่งคำสอนผสมนี้ก็ได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็น พุทธศาสนา และถูกสืบต่อมาจนถึงเราในปัจจุบัน โดยที่ชาวพุทธเกือบทั้งหมดไม่รู้ตัว สรุปได้ว่า พระพุทธเจ้าสอนเรื่อง จิตเป็นอนัตตา คือหมายถึง จิตไม่ใช่อัตตา แต่ศาสนาพราหมณ์สอนว่า จิตเป็นอัตตา คือหมายถึง จิตเป็นตัวตนที่แท้จริง ซึ่งคำสอนเรื่อง จิตเป็นอนัตตา ของพระพุทธเจ้านั้นเกิดจาก ปัญญา คือเข้าใจได้ พิสูจน์ได้ฯ ส่วนคำสอนเรื่อง จิตเป็นอัตตา ของศาสนาพราหมณ์นั้น เกิดจาก ศรัทธา คือ ความเชื่อตามๆกันมา ซึ่งเราจะต้องเข้าใจหลักการของศรัทธาหรือความเชื่อก่อน เราจึงจะเข้าใจหลักการของปัญญาได้ ความเชื่อคืออะไร? คำสอนเรื่อง จิตเป็นอัตตา ของศาสนาพราหมณ์นั้น เป็นการสอนโดยใช้ ศรัทธา ที่หมายถึง ความเชื่อ ซึ่งความเชื่อก็คือ ความมั่นใจว่าเป็นความจริง โดยความเชื่อก็จัดเป็น ไสยศาสตร์ ที่หมายถึง หลักวิชาของคนหลับหรือคนที่ยังไม่มีปัญญา ที่ตรงข้ามกับ พุทธศาสตร์ ที่หมายถึง หลักวิชาของคนตื่นหรือคนมีปัญญา โดยองค์ประกอบของความเชื่อก็ได้แก่ ๑. สอนให้เชื่อ คือจะสอนให้เชื่อมั่นเอาไว้ก่อน และ ห้ามถาม ห้ามสงสัย ๒. ศึกษาโดยใช้จินตนาการ คือจะศึกษาโดยการคิดฝันไปตามความเชื่อโดยไม่มีความจริงมายืนยัน แล้วก็เอาตำราหรือคำสอนของคนอื่นมาเป็นหลักฐานยืนยันว่าคำสอนของตนเองนั้นเป็นความจริง ๓. ไม่มีเหตุผล คือความเชื่อจะไม่มีเหตุผลที่สมเหตุสมผลมาอธิบายให้เราเข้าใจได้ ๔. พิสูจน์ไม่ได้ คือความเชื่อนั้นเป็นสิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่ถ้าความเชื่อใดพิสูจน์ได้แล้ว ความเชื่อนั้นก็จะกลายเป็นความเห็นแจ้งไปทันที ๕. ดับทุกข์ไม่ได้อย่างสมบูรณ์ คือความเชื่อทำได้เพียงทำให้ความทุกข์ลดน้อยลงได้ชั่วคราวเท่านั้น การที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธหรือไม่ยอมรับความเชื่อเรื่อง จิตเป็นอัตตา ตามที่ศาสนาพราหมณ์สอนนั้นก็เพราะพระองค์ทรงศึกษาจิตโดยใช้ ปัญญา จนพบความจริงว่า จิตเป็นอนัตตา ซึ่งจุดนี้เราจะต้องจำเอาไว้ให้ดี เพื่อที่จะได้ ไม่เข้าใจผิดว่า พระพุทธเจ้าสอนว่าจิตเป็นอัตตา เหมือนกับที่ศาสนาพราหมณ์สอน อย่างที่คนส่วนมากในโลกเข้าใจผิดกันอยู่ ปัญญาคืออะไร? คำสอนเรื่อง จิตเป็นอนัตตา ของพระพุทธเจ้านั้น เป็นคำสอนโดยใช้ ปัญญา ที่หมายถึง ความรอบรู้ในสิ่งที่ควรรู้ โดยสิ่งที่ควรรู้ก็คือ ความรู้เรื่องการดับทุกข์ (หรือความรู้ในอริยสัจ ๔) โดยองค์ประกอบของปัญญานั้นก็ได้แก่ ๑. ไม่ใช้ความเชื่อ คือจะไม่ยอมรับคำสอนใดๆล่วงหน้าว่าเป็นความจริง ๒. ศึกษาจากสิ่งที่มีอยู่จริง คือศึกษาจากร่างกายและจิตใจของเราเองขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นี้และมีสติดีอยู่นี้ ๓. มีเหตุมีผล คือเป็นความรู้ที่สามารถอธิบายให้เราเข้าใจได้ โดยเหตุผลที่ใช้ศึกษาก็เอามาจากสิ่งที่เรามีอยู่จริงนั่นเอง ๔. พิสูจน์ก่อนยอมรับ คือต้องมีการพิสูจน์คำสอนนั้นจนพบว่าเป็นความจริงอย่างแน่ชัดก่อนยอมรับเอามาปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นต่อไป ๕. ดับทุกข์ได้จริง คือเป็นความรู้ที่นำมาใช้ดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบันได้อย่างสนิท ทั้งอย่างชั่วคราวและถาวร (คือตลอดชีวิต) หลักการศึกษาของปัญญาที่พระพุทธเจ้าสอนนี้ ก็ตรงกับหลักการศึกษาของวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ซึ่งเราจะต้องยึดหลักการศึกษาของปัญญานี้ไว้ให้ดี เพราะต่อไปเราจะมาศึกษากันว่า ทำไมพระพุทธเจ้าจึงได้สอนว่า จิตเป็นอนัตตา โดยใช้ปัญญาหรือหลักวิทยาศาสตร์มาศึกษากันต่อไป วิทยาศาสตร์คืออะไร? วิทยาศาสตร์ ก็คือ ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการสังเกตปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริง โดยวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือที่ใช้ค้นหาความจริงของธรรมชาติที่ได้ผลที่สุด โดยวิทยาศาสตร์มีหลักการโดยสรุปดังนี้ ๑. ไม่ใช้ความเชื่อ คือวิทยาศาสตร์จะไม่เชื่อทฤษฎีหรือคำสอนใดๆล่วงหน้าว่าเป็นความจริง ๒. ศึกษาจากสิ่งที่มีอยู่จริง คือศึกษาจากสิ่งที่เราสามารถสัมผัสได้จริง ๓. ศึกษาตามเหตุตามผล คือทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมานั้นมันย่อมมีเหตุมีผลของมันอยู่แล้วในตัว ซึ่งเราก็จะศึกษาจากเหตุและผลของมันนั่นเอง ๔. ศึกษาอย่างเป็นระบบ คือต้องศึกษาจากพื้นฐานไปสู่ยอดตามลำดับจนครบถ้วน ๕. พิสูจน์ก่อนยอมรับ คือต้องมีการพิสูจน์คำสอนหรือทฤษฎีใดๆจนเห็นผลจริงอย่างแน่ชัดก่อนยอมรับเอามาปฏิบัติ โดยวิทยาศาสตร์นี้ก็มีทั้ง วิทยาศาสตร์ทางด้านวัตถุ และวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตใจ ซึ่งการที่โลกในปัจจุบันมีความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุอย่างมากก็เพราะวิทยาศาสตร์ทางด้านวัตถุนี่เอง แต่พระพุทธเจ้าทรงใช้หลักวิทยาศาสตร์นี้มาค้นหาวิธีการดับทุกข์ของจิตใจ ดังนั้นพุทธศาสนาจึงเป็นวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตใจ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ทางด้านวัตถุ พระพุทธเจ้าทรงค้นพบอะไร? ในสมัยพุทธกาลนั้น ลัทธิหรือศาสนาในยุคนั้นจะสอนกันแต่เรื่อง เหนือธรรมชาติ คือเรื่องพระเจ้า (หรือเทพเจ้า) หรือเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ หรือเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่มีอำนาจวิเศษเหนือธรรมชาติ ที่สามารถดลบันดาลให้เกิดสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้โดยไม่ต้องมีเหตุมีผลตามธรรมชาติก็ได้ อย่างเช่น เรื่องจิตเป็นอัตตา หรือเรื่องเทวดา นางฟ้า เรื่องนรก สวรรค์ เป็นต้น โดยพระพุทธเจ้าก็คือผู้ที่ ค้นพบความจริงพื้นฐานของธรรมชาติว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้นมาจากเหตุ คือคำว่า ทุกสิ่ง ก็หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างของธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุ, พลังงาน, ร่างกาย, หรือจิตใจก็ตาม โดยความหมายที่เข้าใจได้ง่ายๆของความจริงนี้ก็หมายถึง เมื่อมีเหตุ จึงมีผล, เมื่อเหตุของมันยังมีอยู่ ผลของมันก็ยังคงมีอยู่, เมื่อไม่มีเหตุ จึงไม่มีผล, และเมื่อเหตุของมันได้หายไป ผลของมันที่เคยมีอยู่ ก็จะหายตามไปด้วยทันที ซึ่งนี่ก็คือความจริงพื้นฐานง่ายๆที่ใครก็รู้จักและยอมรับกันอยู่แล้ว คือคงไม่มีใครกล้าพูดว่า มันมีบางสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆโดยไม่ต้องมีเหตุ ซึ่งถ้ามีใครพูดประโยคนี้ออกมา ก็แสดงว่าเขาเป็นคนที่ไม่มีความรู้พื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์เพียงพอ จึงทำให้เขาไม่สามารถเข้าใจแม้เพียงความจริงพื้นฐานง่ายๆของธรรมชาติเช่นนี้ได้ เมื่อเรามาพิจารณาความจริงที่ว่า เหตุทำให้เกิดผล อย่างละเอียดแล้ว เราก็จะพบว่า ถ้ามีเพียงเหตุเดียว มันจะไม่สามารถทำให้เกิดผลหรือสิ่งใดขึ้นมาได้ จะต้องมีเหตุหลายๆเหตุมาปรุงเต่ง (คือหมายถึง การร่วมกันทำ) จึงจะทำให้เกิดผลหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ (อย่างเช่น ร่างกายของเรานี้ก็ต้องมี อาหาร, น้ำ, ความร้อน, และอากาศ มาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น) อีกอย่างเราต้องเข้าใจว่า ในเรื่องของ เหตุ ที่มีหลายๆเหตุนั้น ถ้าเหตุใดใหญ่ หรือสำคัญ หรือเห็นได้ง่าย เราจะเรียกว่า เหตุ ที่หมายถึง สิ่งที่ทำให้เกิดผล ส่วนเหตุที่เหลือทั้งหมดแต่ละเหตุนั้น เราจะเรียกว่า ปัจจัย ที่หมายถึง เหตุย่อยๆ หรือ สิ่งที่มาสนับสนุนเหตุ ดังนั้นถ้าจะพูดให้ชัดเจน ก็ต้องพูดว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะต้องมีเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น แต่เรามักจะชอบพูดสั้นๆว่า เหตุทำให้เกิดผล เท่านั้น โดยไม่ได้พูดถึงปัจจัย เพราะใครๆก็รู้กันอยู่แล้วว่าปัจจัยมันมีอะไรบ้าง (อย่างเช่น คำพูดที่ว่า อาหารทำให้เกิดร่างกายขึ้นมา ซึ่งเราก็รู้กันอยู่แล้วว่า มันต้องมีน้ำ, ความร้อน, และอากาศ เป็นปัจจัยอยู่ด้วย เป็นต้น) ซึ่งเราจะต้องเข้าใจจุดนี้เอาไว้ด้วย จะได้ไม่เกิดความสับสนเมื่อพบคำพูดสั้นๆว่า เหตุทำให้เกิดผล มีอะไรบ้างที่เป็นสิ่งที่ไม่ปรุงแต่ง? คำว่า สังขาร แปลว่า ปรุงแต่ง คือคำว่า สังขารนี้ จะหมายถึง กิริยาหรือการปรุงแต่งก็ได้ หรือจะหมายถึง สิ่งที่ไปปรุงแต่งให้เกิดสิ่งอื่นขึ้นมาก็ได้, หรือหมายถึง สิ่งปรุงแต่ง (คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุและปัจจัย) ก็ได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อเราเห็น คนปั้นหม้อดิน ซึ่งคนที่ปั้นนั้นก็เรียกว่า สังขาร ได้, ส่วนกิริยาที่ปั้นนั้นก็เรียกว่า สังขาร ได้, ส่วนหม้อดินก็เรียกว่าเป็น สังขาร ได้ โดยสิ่งทั้งหลายในโลกนี้สรุปได้ ๒ อย่าง คือ สิ่งปรุงแต่ง กับ สิ่งที่ไม่ปรุงแต่ง โดย สิ่งปรุงแต่ง ก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น ซึ่งสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายล้วนเป็นอนัตตา (คือไม่ใช่อัตตา), อนิจจัง (คือไม่เที่ยง), และทุกขัง (คือต้องทนอยู่ย่างยากลำบาก) ซึ่งสรุปแล้วสิ่งที่เป็น สิ่งปรุงแต่ง นั้นก็ได้แก่ทุกสิ่ง ยกเว้น สิ่งที่ไม่ปรุงแต่ง ส่วน สิ่งที่ไม่ปรุงแต่ง ก็คือ สิ่งที่มีอยู่โดยไม่อาศัยเหตุปัจจัยมาปรุงแต่งให้มันมีอยู่ ซึ่ง สิ่งที่ไม่ปรุงแต่ง นั้นก็มีเพียง นิพพาน (คือความสงบเย็นของจิตขณะที่จิตไม่มีความทุกข์) เท่านั้น นอกนั้นจะเป็นสิ่งปรุงแต่งทั้งสิ้น โดยสิ่งที่ไม่ปรุงแต่งนี้จะเป็นสิ่งที่เที่ยง (คือนิจจัง) และไม่มีความทุกข์ (คือสุขัง) แต่มันก็ยังเป็นอนัตตา (คือไม่ใช่อัตตา) สรุปได้ว่า สิ่งที่ไม่ปรุงแต่ง นั้นก็มีเพียง นิพพาน เท่านั้น นอกนั้นไม่ว่าจะเป็นวัตถุหรือจิตใจ (คือพวกความรู้สึก) ก็ล้วนเป็น สิ่งปรุงแต่ง ทั้งสิ้น ซึ่งเราจะต้องศึกษาให้เข้าใจเรื่อง สิ่งปรุงแต่ง กับ สิ่งที่ไม่ปรุงแต่ง ให้เข้าใจก่อน เราจึงจะมองเห็นโลกตามความเป็นจริง แล้วก็จะทำให้เราเข้าใจโลกและอยู่กับโลกด้วยปัญญา แล้วจิตใจเราก็จะอยู่เหนือโลกหรือไม่แบกโลกเอาไว้ให้เป็นทุกข์ ด้วยความโง่เขลาที่ไม่รู้จักชีวิตและโลกตามความเป็นจริง พระพุทธเจ้าสอนว่าสิ่งทั้งหลายเป็นอะไร? ก่อนอื่น เราจะต้องยอมรับความจริงพื้นฐานของธรรมชาติที่ว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้นมาจากเหตุและปัจจัย นี้ก่อน เราจึงจะศึกษาต่อไปได้ แต่ถ้าใครยังเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติที่ว่า มีเทพเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่สร้างสิ่งต่างๆขึ้นมาได้โดยไม่ต้องมีเหตุก็ได้ ก็จะศึกษาต่อไปไม่ได้ เพราะความเชื่อนี้เป็นเรื่องที่ขัดแย้งหรือตรงข้ามกับความจริงพื้นฐานของธรรมชาติ เมื่อเรายอมรับความจริงที่ว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้นมาจากเหตุและปัจจัยแล้ว เราก็จะเข้าใจได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุและปัจจัยทั้งหลายนั้นมันเป็น สิ่งปรุงแต่ง คือหมายถึง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากเหตุและปัจจัย โดยสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายนั้น เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า มันมีลักษณะ ๓ ประการ ที่เรียกว่า ไตรลักษณ์ ที่หมายถึง ลักษณะ ๓ ประการของสิ่งปรุงแต่งทั้งหลาย อันได้แก่ ๑. อนิจจัง คือ ไม่เที่ยง หรือ ไม่เป็นอมตะ คือหมายถึง สิ่งปรุงแต่งทั้งหลายนั้น จะไม่สามารถตั้งอยู่ในสภาพเดิมได้ตลอดไปชั่วนิรันดร เพราะไม่ช้าก็เร็ว สภาพการปรุงของมันนั้นก็ต้องแตกสลาย (ใช้กับวัตถุ) หรือดับหายไป (ใช้กับจิตใจ) อย่างแน่นอน อีกทั้งเมื่อสภาพการปรุงแต่งของมันนั้นยังตั้งอยู่ มันก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย ๒. ทุกขัง คือ ต้องทนอยู่อย่างยากลำบาก คือหมายถึง เมื่อสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายได้เกิดขึ้นมาแล้ว จะต้องทนอยู่อย่างยากลำบาก คือมีความยากลำบากทั้งจากการแสวงหาเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งสภาพการปรุงแต่งของมันให้ตั้งอยู่ และความยากลำบากจากการถูกสิ่งต่างๆภายนอกที่คอยทำลายสภาพการปรุงแต่งของมันให้แตกสลายหรือดับหายไปอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งมันยังต้องทนต่อการเปลี่ยนแปลง (คือความไม่เที่ยง) ของเหตุและปัจจัยของมันเองอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย ๓. อนัตตา แปลว่า ไม่ใช่อัตตา คือหมายถึง เป็นการปฏิเสธหรือไม่ยอมรับว่าจะมีสิ่งใดเป็นอัตตาได้ ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นมาทั้งหลายนั้น มันก็เป็นเพียง สิ่งปรุงแต่ง ซึ่งสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายนี้ เราจะเรียกว่าเป็น ตัวตนชั่วคราว (คือจะมีเท่าที่เหตุปัจจัยของมันยังมีอยู่) หรือเป็น ตัวตนมายา (คือเป็นสิ่งหลอกลวงว่าเป็นของจริง) หรือ ตัวตนสมมติ (คือสมมติว่าเป็นตัวตนเพื่อใช้ในการสื่อสาร) เท่านั้น และเมื่อเราตั้งใจพิจารณาถึงความเป็นอนัตตาในสิ่งทั้งหลายอย่างละเอียด เราก็จะพบกับความจริงสูงสุดของธรรมชาติว่า สิ่งทั้งหลายเป็น สุญญตา คือหมายถึง มันว่างเปล่าจากความเป็นอัตตาหรือตัวตนที่แท้จริงของมันเอง สรุปได้ว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า สิ่งปรุงแต่งทั้งหลายล้วนเป็น อนิจจัง คือไม่เที่ยงหรือไม่เป็นอมตะ และยังมีภาวะของ ทุกขัง คือต้องทนอยู่อย่างยากลำบาก รวมทั้งยังทรงสอนว่า ทุกสิ่ง (คือทั้งสิ่งปรุงแต่งและสิ่งที่ไม่ปรุงแต่ง) ล้วนเป็น อนัตตา คือหมายถึง ไม่ใช่อัตตา ซึ่งคำสอนเรื่อง ทุกสิ่งเป็นอนัตตา ของพระพุทธเจ้านี้ จัดเป็น หัวใจของปัญญา และเมื่อเราพิจารณาเรื่อง ทุกสิ่งเป็นอนัตตา อย่างจริงจัง เราก็จะพบความจริงสูงสุดของธรรมชาติว่า ทุกสิ่งเป็น สุญญตา คือหมายถึง มันว่างเปล่าจากความเป็นอัตตาหรือตัวตนที่แท้จริงของมันเอง ก่อนศึกษาอริยสัจ ๔ เราต้องมีความรู้พื้นฐานอะไร? ก่อนศึกษาอริยสัจ ๔ เราต้องมีความรู้พื้นฐานที่สำคัญอีกอย่างคือความรู้เรื่อง ขันธ์ ๕ ที่หมายถึง ส่วนประกอบ ๕ ส่วนที่ประกอบเป็นชีวิตของเรา ขึ้นมา โดยคำว่า ขันธ์ แปลว่า กลุ่ม, กอง, ส่วน คือชีวิต (หรือร่างกายและจิตใจ) ของเราทุกคนนี้ ประกอบขึ้นมาจากส่วน ๕ ส่วน ที่เรียกว่า ขันธ์ ๕ อันได้แก่ ๑. รูป คือ ส่วนที่เป็นวัตถุที่สัมผัสได้ด้วย ตา, หู, จมูก, ลิ้น, และกาย โดยสิ่งเป็นรูปก็คืออวัยวะทั้งหมดที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นร่างกายของเรา ซึ่งอวัยวะทั้งหมดนี้สรุปแล้วก็เกิดมาจาก ธาตุทางวัตถุ ๔ อย่าง คือ ธาตุดิน (คือของแข็ง), ธาตุน้ำ (คือของเหลว), ธาตุไฟ (คือความร้อน), และ ธาตุลม (คือก๊าซ) ๒. วิญญาณ คือ การรับรู้ ที่เกิดขึ้นจากการที่ระบบประสาท ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, และใจ ได้สัมผัสกับสิ่งหรืออธรรมชาติที่ตรงกัน อันได้แก่ รูป, เสียง, กลิ่น, รส, สิ่งสัมผัสกาย (เช่น เย็น ร้อน อ่อน แข็งฯ), สิ่งสัมผัสใจ (คือ การรับรู้, การจำได้, ความรู้สึก, การคิดนึกปรุงแต่งของจิต) อย่างเช่น เมื่อรูปมาสัมผัสตา ก็จะเกิดการรับรู้รูป (หรือเกิดการเห็นรูป) ขึ้นมาทันที หรือเมื่อมีเสียงมาสัมผัสหู ก็จะเกิดการรับรู้เสียง (หรือการได้ยินเสียง) ขึ้นมาทันที เป็นต้น (ซึ่งวิญญาณนี้นักวิทยาศาสตร์บอกว่ามันก็คือไฟฟ้าอ่อนๆที่ร่างกายที่ยังไม่ตายสร้างขึ้นมา) ๓. สัญญา คือ การจำสิ่งที่รับรู้ได้ คือเมื่อเกิดการรับรู้ที่ระบบประสาทใดขึ้นมาแล้ว ก็จะเกิดการจำสิ่งที่รับรู้อยู่นั้นขึ้นมาด้วยทันที อย่างเช่น จำรูปที่กำลังเห็นอยู่นั้นว่ารูปของใครหรืออะไร หรือจำได้ว่าเสียงที่ได้ยินอยู่นั้นเป็นเสียงของอะไรและมีความหมายอย่างไร เป็นต้น (ซึ่งสัญญานี้นักวิทยาศาสตร์บอกว่า มันเป็นข้อมูลที่เนื้อสมองของร่างกายบันทึกเอาไว้) ๔. เวทนา คือ ความรู้สึก คือเมื่อเกิดการจำสิ่งที่รับรู้ใดขึ้นมาแล้ว ก็จะเกิดความรู้สึกต่อสิ่งที่จำได้นั้นขึ้นมาด้วยทันที ซึ่งเวทนานี้ก็สรุปได้ ๓ อย่าง คือ ๑) สุขเวทนา คือความรู้สึกที่น่าพึงพอใจ หรือความรู้สึกที่ทนได้ง่าย หรือความสุข ๒) ทุกขเวทนา คือความรู้สึกที่ไม่น่าพึงพอใจ หรือความรู้สึกที่ทนได้ยาก (โดยความทุกข์ในอริยสัจ ๔ หมายถึง ทุกขเวทนาทางใจที่รุนแรง ที่เกิดจากกิเลส) ๓) อทุกขมสุขเวทนา คือความรู้สึกที่ไม่ใช่ทั้งสุขเวทนาและทุกขเวทนา คือเป็นเวทนาจืดๆที่อยู่ระหว่างเวทนาทั้งสอง โดยตัวอย่างของการเกิดเวทนาก็ได้แก่ เมื่อตาได้เห็นรูปที่สวยงามและจำได้ว่าเป็นรูปอะไร ก็จะทำให้เกิดสุขเวทนาทางตา (หรือความสุขทางตา) ขึ้นมาทันที หรือเมื่อหูได้ยินเสียงที่มีคนมาด่าเรา แล้วเราก็จำได้ว่าเป็นเสียงของใครและด่าเราเรื่องอะไร ก็จะทำให้เกิดทุกขเวทนาทางตาขึ้นมาทันที เป็นต้น (ซึ่งเวทนานี้นักวิทยาศาสตร์บอกว่ามันก็คือสารเคมีชนิดต่างๆที่สมองสร้างขึ้นมาขณะที่มันทำงานอยู่) ๕. สังขาร คือ การปรุงแต่งหรืออาการของจิต คือเมื่อเกิดเวทนาใดขึ้นมาแล้ว เมื่อจิตไม่มีสติปัญญา จิตก็จะเกิดอาการต่อเวทนาขึ้นมาด้วยทันที คืออาการพึงพอใจหรืออยากได้สุขเวทนา, ไม่พึงพอใจหรือไม่อยากได้ทุกขเวทนา, และลังเลใจต่ออทุกขมสุขเวทนา ซึ่งอาการต่อเวทนานี้เองที่เรียกว่า กิเลส หรือ ตัณหา ที่ทำให้จิตใจของเราเกิดความทุกข์ (หรือความเศร้าโศก) ตามหลักอริยสัจ ๔ ขึ้นมา (ซึ่งสมองของคนเรานี้ นักวิทยาศาสตร์บอกว่ามันทำงานเหมือนคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋วจำนวน แสนล้านเครื่อง ที่ทำงานร่วมกันอยู่ ซึ่งการปรุงแต่งของจิตก็คือการทำงานหรือประมวลผลของสมองนั่นเอง) ขันธ์ทั้ง ๕ นี้ย่อลงเป็น ร่างกาย กับ จิตใจ ซึ่งคำว่า จิตใจ หมายถึง สิ่งรู้สึกนึกคิดได้ (คือเมื่อมันทำหน้าที่คิดนึกก็เรียกว่า จิต แต่เมื่อมันทำหน้าที่รับรูและรู้สึก ก็เรียกว่า ใจ ซึ่งเราก็มักจะเรียกรวมกันว่าจิตใจ) โดยร่างกายก็คือ รูป ส่วนจิตใจก็คือ วิญญาณ, สัญญา, เวทนา, สังขาร ซึ่งร่างกายกับจิตใจนี้มันต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่ จะแยกกันไม่ได้ ถ้าแยกกันเมื่อใด ก็จะทำให้ทั้งคู่แตกสบาย (คือร่างกาย) และดับหายไป (คือจิตใจ) ด้วยกันทั้งคู่ทันที การศึกษาขันธ์ ๕ ทำให้เรารู้อะไร? เมื่อเรานำเอาขันธ์ทั้ง ๕ ที่ประกอบกันขึ้นมาเป็น ร่างกาย และ จิตใจ ของเรามาพิจารณาย้อนกลับ เราก็จะพบความจริงว่า สังขาร (การปรุงแต่งของจิต) ก็ต้องอาศัย เวทนา (ความรู้สึก) มาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น, ส่วนเวทนาก็ต้องอาศัย สัญญา (การจำสิ่งที่รับรู้ได้) มาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น, ส่วนสัญญาก็ต้องอาศัย วิญญาณ (การรับรู้) มาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น, ส่วนวิญญาณก็ต้องอาศัย ร่างกาย (หรืออวัยวะที่ทำให้เกิด ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ) มาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น, ส่วนร่างกายก็ต้องอาศัย ธาตุ ๔ (คือของแข็ง, ของเหลว, ความร้อน, ก๊าซ) มาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น, ซึ่งแม้ธาตุทั้ง ๔ ก็ยังต้องอาศัย อะตอม มาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น, ส่วนอะตอมก็ยังต้องอาศัย โปรตอน นิวตรอน อิเลกตรอน มาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นอีก, ซึ่งแม้โปรตอน นิวตรอน อิเลกตรอน ก็ยังเป็นแค่เพียง พลังงานตามธรรมชาติ เท่านั้น จากการพิจารณาดังนี้ก็ทำให้เราเข้าใจได้ทันทีว่า ถ้าไม่มีร่างกายก็จะไม่มีวิญญาณ เมื่อไม่มีวิญญาณก็จะไม่มีสัญญา-เวทนา-สังขาร (เพราะวิญญาณเป็นพื้นฐานทำให้เกิดจิตใจ) หรือพูดง่ายๆก็คือ ร่างกายกับจิตใจนั้นมันรวมตัวกันเป็นชีวิตของเราขึ้นมา ถ้าไม่มีร่างกาย ก็จะไม่มีจิตใจ และ ถ้าไม่มีจิตใจ ร่างกายก็จะไม่มี (เพราะจิตใจทำให้ร่างกายมีชีวิต) สรุปได้ว่า ทั้งร่างกายและจิตใจของเรานี้เป็น สิ่งปรุงแต่ง เพราะมันต้องอาศัยสิ่งอื่นมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น และนี่ก็แสดงให้เราเข้าใจได้ทันทีว่า ทั้งร่างกายและจิตใจที่สมมุติเรียกว่าเป็น ตัวเรา-ของเรา นี้ มันเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่อัตตาหรือตัวตนที่แท้จริง และยังมีสภาวะของ สุญญตา คือว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริง หรือหมายถึง มันไม่ได้มีตัวเราอยู่จริงในร่างกายและจิตใจนี้ รวมทั้งร่างกายและจิตใจของเรานี้ก็ยังเป็น อนิจจัง (คือไม่เที่ยงหรือไม่เป็นอมตะ) และยังมีภาวะของ ทุกขัง (คือต้องทนอยู่อย่างยากลำบาก) อีกด้วย เราคืออะไร? แต่ก็อาจจะมีคำถามว่า แล้วจิตใจมันมีความรู้สึกว่ามีตัวเราได้อย่างไร? ซึ่งคำตอบก็คือ มันก็เป็นของมันเองตามธรรมชาติ คือจิตมันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่เมื่อมันถูกปรุงแต่งหรือทำให้เกิดขึ้นมาแล้ว มันก็จะมีความรู้สึกตัวว่ามีตนเองอ่อนๆอยู่ด้วยเสมอ ซึ่งความรู้สึกตัวว่ามีตนเองนี้ ทางพุทธศาสนาเรียกว่า อวิชชา ที่หมายถึง สัญชาตญานแห่งตัวตน ซึ่งสัญชาตญาณแห่งตัวตนนี้ก็คือ ความรู้สึกตัวว่ามีตนเอง (คือเมื่อมาดูที่ชีวิตของเราก็หมายถึง ความรู้สึกตัวว่ามีตัวเรา) โดยคำว่า สัญชาตญาณ หมายถึง ความรู้ที่เกิดขึ้นพร้อมกับจิตโดยไม่มีใครสอน คือจิตของเด็กทุกคนที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ๆ จะยังมีความบริสุทธิ์ (คือยังไม่มีกิเลสและความยึดถือว่ามีตนเอง) อยู่แล้วตามธรรมชาติ ซึ่งจิตที่บริสุทธิ์นี้จะมีสัญชาตญาณแห่งตัวตน หรือความรู้สึกตัวว่ามีตนเองอ่อนๆอยู่ด้วย ซึ่งความรู้สึกว่ามีตนเองอ่อนๆนี้จะยังไม่ทำให้จิตเกิดความทุกข์ จนกว่าจิตจะเกิดกิเลสและความยึดถือว่ามีตนเองขึ้นมา จึงจะทำให้จิตเกิดความทุกข์ ซึ่งจิตที่มีความบริสุทธิ์นี้จะมีความสงบเย็น (หรือนิพพาน) อยู่แล้วเป็นพื้นฐาน อีกอย่างจิตนั้นไม่มีเพศ แต่เมื่อจิตมันถูกปรุงแต่งขึ้นมาจากร่างกาย มันก็จะถูกฮอร์โมนของร่างกายปรุงแต่งให้มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงขึ้นมาในภายหลัง รวมทั้งเมื่อสภาพแวดล้อมของร่างกายเป็นอย่างไร สภาพแวดล้อมนั้นก็จะปรุงแต่งให้เกิดสติปัญญาหรือความโง่รวมทั้งนิสัยของจิตขึ้นมาในภายหลัง ซึ่งนี่เองที่ทำให้คนแต่ละคนเกิดมาไม่เหมือนกัน คือมีร่างกายแตกต่างกัน มีสติปัญญาไม่เท่ากัน มีนิสัยไม่เหมือนกัน และมีความสุขความทุกข์ไม่เหมือนกัน แต่ความไม่เหมือนกันนี้มันเป็นเพียงสิ่งสมมุติ เพราะความจริงแล้วมันก็ไม่ได้มีตัวตนของเราหรือของใครๆหรือของสิ่งใดๆเกิดขึ้นมาจริง คือเท่ากับว่า ไม่มีใครได้ ไม่มีใครเสีย ซึ่งนี่ก็คือความยุติธรรมของโลก แต่คนทั่วไปที่ไม่รู้ความจริงนี้จะไม่เข้าใจเรื่องนี้ เขาจึงคิดว่าโลกไม่ยุติธรรม สรุปได้ว่า เราคือ สิ่งที่มีชีวิต ที่มีความรู้สึกตัวว่ามีตัวเรา แล้วก็มาสมมุติเรียกว่า มนุษย์ (คือผู้มีจิตใจสูง) หรือ คน (คือสัตว์ชนิดหนึ่งของโลก) ซึ่งพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาก็จะยังบริสุทธิ์เหมือนกันทุกคน แต่ได้มาถูกปรุงแต่งให้มีความแตกต่างกันในภายหลัง ดังนั้นจึงเท่ากับว่า แท้จริงแล้วมนุษย์ทุกคนนั้นคือคนๆเดียวกัน คือเป็นแค่เพียงสิ่งที่มีชีวิตที่มีร่างกายและจิตใจที่ถูกปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมาชั่วคราวเหมือนกัน และไม่มีตัวตนเป็นของตนเองเหมือนกัน รวมทั้งต้องทนอยู่อย่างยากลำบากเหมือนกัน ซึ่งแม้สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา ก็มีลักษณะเหมือนกับมนุษย์ด้วยเหมือนกัน ซึ่งเมื่อเราเข้าใจถึงความจริงนี้แล้ว เราก็จะมีความเป็นมิตร (คือไม่เป็นศัตรูกับใครๆ) กับทุกคนอย่างเสมอหน้า และรักเขาเหมือนกับที่เรารักตัวเอง พระพุทธเจ้าสอนอะไร? โดยสรุปแล้วพระพุทธเจ้าจะสอนเฉพาะเรื่องการดับทุกข์ หรือ การปฏิบัติเพื่อให้ชีวิตไม่มีความทุกข์ ซึ่งก็จะมีคำถามว่า ทำไมพระพุทธเจ้าจึงสอนเฉพาะเรื่องการดับทุกข์? ซึ่งคำตอบก็คือ เพราะความทุกข์เป็นปัญหาหรือสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดของเราทุกคน ดังนั้นเรื่องเร่งด่วนที่สุดที่เราจะต้องรีบศึกษาให้เข้าใจและพิสูจน์ให้เห็นแจ้งก่อนที่จะไปศึกษาหรือพิสูจน์เรื่องอื่นนั้นก็คือ เรื่องการดับทุกข์ โดยคำสอนเรื่องการดับทุกข์ที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นเรียกว่า อริยสัจ ที่หมายถึง ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ อันได้แก่ ๑. ทุกข์ คือ ความทุกข์ใจ อันได้แก่ ความเศร้าโศก (หรือความเสียใจ) ความคับแค้นใจ, ความตรอมใจ, ความไม่สบายใจ, ความหนัก-เหนื่อยใจ, ความรู้สึกที่ทรมานใจ, หรือความรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ ฯ ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับ อุปาทาน คือ ความยึดถือเอา สภาพที่ไม่น่าพึงพอใจของชีวิต อันได้แก่ ความแก่, ความเจ็บ, ความตาย, ความพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งอันเป็นที่รัก, ความประสบกับบุคคลหรือสิ่งอันไม่เป็นที่รัก, และความผิดหวัง ว่ามันเป็น ตัวเรา-ของเรา ๒. สมุทัย คือ เหตุของความทุกข์ ซึ่งก็ได้แก่ กิเลส (หรือตัณหา) อันสรุปอยู่ที่ ความอยากได้-ไม่อยากได้ (หรือความพอใจ-ไม่พอใจ) ๓. นิโรธ คือ ความดับไปของความทุกข์ หรือ ความไม่มีทุกข์ และเมื่อจิตไม่มีความทุกข์มันก็จะ นิพพาน คือ สงบเย็น (หรือมีความเย็นใจ) ทันที (แม้เพียงชั่วคราว) ๔. มรรค หรือ อริยมรรค คือวิธีการปฏิบัติเพื่อให้จิตไม่มีความทุกข์ (ทั้งอย่างชั่วคราวและถาวร) โดยวิธีการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ก็สรุปอยู่ที่ การใช้ปัญญากับสมาธิมาทำงานร่วมกันโดยมีศีลเป็นพื้นฐาน โดย ศีล หมายถึง ความปรกติของจิต ส่วน สมาธิ ก็คือ การที่เรามีสติจดจ่ออยู่กับปัญญาอย่างแน่วแน่ตลอดเวลา, ส่วน ปัญญา ก็คือ ความเข้าใจและเห็นแจ้งเรื่อร่างกายและจิตใจของเราเป็น อนัตตา-สุญญตา นั้นเอง พระพุทธเจ้าไม่สอนอะไร? คำว่า อจินไตย แปลว่า ไม่ควรนำมาคิด คือหมาย ถึงเรื่องที่ไม่ควรนำมาคิด โดยผู้ที่เริ่มศึกษาอริยสัจ ๔ นั้น พระพุทธเจ้าสอนว่า ไม่ควรนำเรื่องที่เรียกว่าอจินไตยมาศึกษาหรือนำมาคิดหาความจริง ซึ่งเรื่องอจินไตยทั้ง ๔ นั้นก็ได้แก่ ๑. พุทธวิสัย คือ เรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หรือพระอริยบุคคลทั้งหลาย คืออย่าไปสนใจนำมาคิดว่ามีอยู่จริงหรือไม่ หรือเป็นอย่างไร? เป็นต้น ๒. ฌานวิสัย คือ เรื่องสมาธิสูงๆ คืออย่าไปสนใจนำมาคิดว่าทำได้จริงหรือไม่? ถ้าทำได้แล้วจะทำให้มีฤทธิ์หรือมีอำนาจวิเศษเหนือคนธรรมดาได้จริงหรือไม่? เป็นต้น ๓. กรรมวิสัย คือ เรื่องกรรมและผลของกรรม คืออย่าไปสนใจว่าเมื่อทำกรรมได้ไว้แล้วจะต้องรับผลกรรมนั้นเมื่อตายไปแล้วจริงหรือไม่? หรือได้รับเมื่อไร? และในรูปแบไหน? เป็นต้น ๔. โลกวิสัย คือ เรื่องโลกๆ คืออย่าไปสนใจเรื่องที่ชาวโลกเขาสนใจกันอยู่ที่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการดับทุกข์ เช่น เรื่องเทคโนโลยี เรื่องการเมือง เรื่องอาชีพการงาน หรือเรื่องความเจริญทางด้านวัตถุ เรื่องบุคคล รวมทั้งเรื่องใครสร้างโลก ตายแล้วไปไหน? เกิดหรือไม่เกิด? ถ้าเกิดแล้วอะไรไปเกิด? เป็นต้น สาเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามผู้ที่เริ่มต้นศึกษาอริยสัจ ๔ ไม่ให้ไปสนใจศึกษาเรื่องอจินไตยนั้นก็เป็นเพราะ ถ้าใครหลงไปศึกษาแล้วก็จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดหรือเกิดความเห็นผิดจากคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าได้ เพราะเรื่องอจินไตยนี้มันเป็นแค่ความเชื่อตามๆกันมาเท่านั้น และเป็นเรื่องที่ไม่มีหลักฐานมายืนยัน แต่ที่สำคัญก็คือ มันเป็นเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์แก่การศึกษาเรื่องการดับทุกข์เลย ส่วนเรื่องที่ควรสนใจสำหรับผู้เริ่มต้นศึกษานั้นพระพุทธเจ้าสอนว่า ให้สนใจถามว่า ความทุกข์คืออะไร? ความทุกข์เกิดจากอะไร? เมื่อความทุกข์ดับไปแล้วจะเป็นอย่างไร? และวิธีการดับทุกข์เป็นอย่างไร? ซึ่งเมื่อเราได้ศึกษาเรื่องการดับทุกข์นี้จนเกิดปัญญาขึ้นมาแล้ว ก็จะมีคำตอบในเรื่องอจินไตยนี้ขึ้นมาได้เองจนทำให้หมดความสงสัยได้ การศึกษาอริยสัจ ๔ ต้องเริ่มศึกษาจากเรื่องอะไรก่อน? ก่อนอื่นจะศึกษาเรื่องการดับทุกข์ เราต้องเข้าใจก่อนว่า ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนนั้น อยากได้ความสุข ดังนั้นเราต้องมาทำความเข้าใจเรื่องความสุขก่อน เราจึงจะศึกษาเรื่องที่ตรงข้ามกับความสุข อันได้แก่ ความทุกข์ และวิธีการดับทุกข์ ได้เข้าใจ ความสุขคืออะไร? โดยคำว่า ความสุข ก็หมายถึง ความรู้สึกที่ทนได้ง่าย หรือ ทนได้สบาย หรือ ความรู้สึกที่น่าพึงพอใจ ซึ่งความสุขที่มนุษย์อยากได้นั้นสรุปได้ ๒ อย่าง คือ ความสุขจากวัตถุนิยม กับ ความสุขจากการทำความดี ความสุขจากวัตถุนิยมคืออะไร? โดย ความสุขจากวัตถุนิยม ก็คือความสุขจากการที่ ตา, หู, จมูก ลิ้น, และกายของเรา ได้สัมผัสกับ สิ่งที่น่าพึงพอใจ อันได้แก่ รูปที่สวยงาม, เสียงที่ไพเราะ, กลิ่นที่หอม, รสที่อร่อย, และสิ่งที่อ่อนนุ่มเย็นสบายหรือน่ารักน่าใคร่ ซึ่งเรานิยมเรียกสิ่งที่น่าพึงพอใจนี้ว่า วัตถุนิยม ที่สรุปอยู่ที่ กาม (คือเรื่องสิ่งที่น่ารักน่าใคร่โดยมีเพศตรงข้ามเป็นกามารมณ์ชนิดสูงสุด), กิน (คือเรื่องวัตถุสิ่งของที่ไม่ใช่กาม), เกียรติ (คือเรื่องเกียรติยศ ชื่อเสียง ความเด่น ดัง และอำนาจ) โดยเราต้องเข้าก่อนว่า ความสุขจากวัตถุนิยมนี้มีโทษมาก เพราะมันทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ทั้งชีวิตของเราและสังคมอย่างมากมาย คือมันทำให้เกิดการสร้างมลพิษให้กับสภาพแวดล้อม และยังทำให้เกิดการทำลายป่าไม้ที่มีคุณต่อมนุษย์และโลกให้พินาศไปอย่างมากมายมหาศาล อันส่งผลทำให้เกิดภัยพิบัติแก่มวลมนุษย์ทั้งโลก เช่น เกิดความอดอยากขาดแคลน เกิดโรคระบาดร้ายแรง เกิดภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม ฝนแล้ง ไฟป่า เป็นต้น รวมทั้งยังทำให้ธรรมชาติเสียหาย เช่น ดินเสีย น้ำเสีย อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น และอากาศเป็นพิษ อีกด้วย แต่ที่สำคัญก็คือ มันทำให้เกิดการแย่งชิงกันหรือทำให้เกิดสงครามทุกรูปแบบขึ้นมา จนเกิดเป็นวิกฤตการณ์ขึ้นมาทั่วโลกอย่างเช่นที่กำลังเกิดขึ้นกับโลกในปัจจุบัน ซึ่งแม้โลกก็จะพินาศก็เพราะมนุษย์ส่วนมากมาลุ่มหลงความสุขจากวัตถุนิยมนี่เอง อีกทั้งเมื่อใดก็ตาม ที่วัตถุนิยมนี้ต้องพลัดพรากจากเราไป หรือเมื่อเราต้องพลัดพรากจากมันไป มันก็จะทำให้จิตใจของเราเกิด ความทุกข์ หรือ ความเศร้าโศกหรือความเสียใจอย่างมาก ขึ้นมาทันที ความสุขจากการทำความดีคืออะไร? ส่วน ความสุขจากการทำความดี ก็คือ การความสุขของจิตใจที่เกิดจากการทำความดี ซึ่งความดีที่เป็นสากลที่ใครๆยอมรับก็สรุปอยู่ที่ การมีเจตนที่จะไม่เบียดเบียนชีวิต-ทรัพย์สิน-กามารมณ์ของผู้อื่น, การมีเจตนาที่จะไม่พูดโกหก-หยาบคาย-ส่อเสียด-เพ้อเจ้อ, การรักผู้อื่น, การให้อภัย, การช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลใดๆตอบแทน, การทำหน้าที่ของเราต่อผู้อื่น ต่อสังคม ต่อประเทศชาติชาติ ต่อศาสนา และต่อโลก อย่างถูกต้องและสมบูรณ์, การทำความเห็นให้ถูกต้องตามสังคมและตามความเป็นจริงของโลก, การทำจิตให้เป็นสมาธิ, การอ่อนน้อมถ่อมตน, การเคารพผู้อื่น, การตอบแทนพ่อแม่หรือผู้ที่มีพระคุณต่อเรา, การใช้ชีวิตที่เรียบง่าย, การละเว้นอบายมุข-สิ่งเสพติด-สิ่งฟุ่มเฟือย เป็นต้น ซึ่งความสุขจากการทำความดีนี้เป็นความสุขที่มีประโยชน์ คือจะทำให้ชีวิตของเรามีชีวิตที่ปกติสุขและทำให้สังคมสงบสุข รวมทั้งยังทำให้โลกมีสันติภาพได้อีกด้วย ความทุกข์คืออะไร? เมื่อเราเข้าใจแล้วว่า มนุษย์อยากได้ความสุข ต่อไปเราก็ต้องเข้าใจว่า มนุษย์เกลียดกลัว หรือ ไม่อยากได้ความทุกข์ โดยคำว่า ความทุกข์ ก็หมายถึง ความรู้สึกที่ทนได้ยาก หรือ ทนได้ลำบาก หรือ ความรู้สึกที่ไม่น่าพึงพอใจ โดยความทุกข์ของมนุษย์นั้นแยกได้ ๒ อย่าง คือ ความทุกข์ตามธรรมชาติ กับ ความทุกข์จากความยึดถือ ความทุกข์ตามธรรมชาติคืออะไร? ความทุกข์ตามธรรมชาติ ก็คือ ความทุกข์ที่ไม่รุนแรง ที่เกิดขึ้นเมื่อชีวิตของเราได้ประสบกับ สิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ ของชีวิต อันได้แก่ ความแก่, ความเจ็บ, ความตาย, ความพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งอันเป็นที่รัก, ความประสบกับบุคคลหรือสิ่งอันไม่เป็นที่รัก, และความผิดหวัง ซึ่ง ความทุกข์ตามธรรมชาติที่ยังไม่รุนแรง นี้ มันเป็นความทุกข์ที่บริสุทธิ์ที่ต้องเกิดขึ้นกับเราทุกคนอยู่แล้ว คือไม่มีใครจะหนีพ้นได้ แต่ว่ามันยังเป็นความทุกข์ที่ไม่เป็นปัญหา เพราะมันยังไม่รุนแรง ซึ่งเราทุกคนก็พอจะทนกับมันได้โดยไม่ยากอยู่แล้ว คือเมื่อเทียบกับความทุกข์ที่รุนแรงทั้งหมดเป็น ๑๐๐% ความทุกข์ตามธรรมชาตินี้ก็มีความรุนแรงประมาณ ๑๐% หรือ ๒๐% เท่านั้น อย่างเช่น เมื่อเราต้องประสบกับ ความแก่, ความเจ็บ, ความตาย, ความพลัดพราก เป็นต้น ก็จะทำให้จิตใจของเราเกิดความทุกข์ประมาณ ๑๐% หรือ ๒๐% เท่านั้น ความทุกข์จากความยึดถือคืออะไร? คำว่า อุปาทาน แปลว่า ความยึดถือ หรือ ความผูกพัน คือเป็นอาการที่จิตของเราไปคว้าเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาแบกเอาไว้ด้วย ความรัก หรือ ความพึงพอใจ แล้วสิ่งที่เรายึดถือเอาไว้นั้น มันก็ทำให้จิตใจของเราเกิด ความทุกข์อย่างมาก ขึ้นมาทันที จากการแบกเอาสิ่งนั้นไว้ โดย ความทุกข์จากความยึดถือ ก็คือ การที่จิตเราไปยึดถือเอา ความทุกข์ธรรมดา ที่กำลังเกิดขึ้นกับชีวิตของเรานั้นว่ามันเป็น ตัวเรา-ของเรา (คือยึดถือเอาความแก่ ว่าเป็นเราแก่, ยึดถือเอาความเจ็บ ว่าเป็นเราเจ็บ, ยึดถือเอาความตายของร่างกาย ว่าเป็นเรากำลังจะตาย, ยึดถือเอาความพลัดพราก ว่าเราเป็นผู้มีความพลัดพราก เป็นต้น) แล้วมันก็ทำให้จิตใจของเราเกิดความทุกข์ที่รุนแรงซ้อนเพิ่มขึ้นมาอีก ๗๐% หรือ ๘๐% โดยเรานิยมเรียกความทุกข์ใจนี้ว่า ความเศร้าโศก (หรือความเสียใจ), ความคับแค้นใจ, ความแห้งเหี่ยวใจ, ความเร่าร้อนใจ, ความหนัก-เหนื่อยใจ, ความรู้สึกทรมานใจ, หรือ ความไม่สบายใจ ฯ นั่นเอง ซึ่งความทุกข์จากอุปาทานนี้เองที่เป็น สิ่งที่น่าหวาดกลัวอย่างที่สุด ของมนุษย์ทุกคน โดย ความทุกข์จากอุปาทาน นี้เอง ที่พระพุทธเจ้าสอนให้เรามาศึกษาเพื่อที่จะทำให้มันไม่เกิดขึ้นกับจิตใจของเราอย่างถาวร (คือตลอดชีวิต) เหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์คืออะไร? โดยเหตุที่ทำให้เกิดอุปาทานก็คือ กิเลส หรือ ตัณหา อันสรุปอยู่ที่ ความพึงพอใจ (หรือความรัก, ความชอบ, ความยินดี, หรืออความอยากได้ฯ) และ ความไม่พึงพอใจ (หรือความโกรธ, ความเกลียด, ความกลัว, ความเบื่อ, ความยินร้าย, หรือ ความไม่อยากได้) คือเมื่อเรากำลังประสบกับ สิ่งที่น่าพึงพอใจ ที่ทำให้เกิด ความสุข (อันได้แก่ ความหนุ่ม-ความสาว, ความไม่เจ็บป่วย, ความที่ยังมีชีวิตที่สุขสบาย, ความมีบุคคลหรือสิ่งอันเป็นที่รักอยู่, ความที่ยังไม่ประสบกับบุคคลหรือสิ่งอันไม่เป็นที่รัก, และมีความสมหวัง) อยู่นั้น ซึ่งถ้าขณะนี้เราไม่มี สติ-ปัญญา-สมาธิ (คือไม่มีการตั้งใจระลึกถึงอริยสัจ ๔ ที่เป็นความรู้เรื่องการดับทุกข์) ก็จะทำให้จิตใจของเราเกิด กิเลส ประเภท ความรัก หรือ ความพึงพอใจ ต่อ สิ่งที่น่าพึงพอใจ นั้นขึ้นมาทันที โดยความรักหรือความพึงพอใจนี้ก็คือ กิเลส ประเภท ความพอใจ ที่ทำให้จิตเกิด อุปาทาน คือ ความยึดถือเอา สิ่งที่น่าพึงพอใจ นั้นว่าเป็น ตัวเรา-ของเรา ขึ้นมาทันที ซึ่งจุดนี้มันก็เพียงทำให้จิตใจของเราเกิด ความรู้สึกกระวนกระวายใจ หรือความรู้สึกหนัก-เหนื่อยใจ หรือไม่สบายใจ ฯ ขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเท่านั้น (ต้องสังเกตจากจิตใจเราจริงๆจึงจะพบ) ซึ่งความรู้สึกไม่สบายใจเพียงเล็กน้อยนี้มันยังไม่เป็นปัญหากับจิต อีกทั้งเราก็ยังชอบมันอีกด้วยเพราะมันมีความสุขมาล่อลวงให้ให้เราพอใจกับมัน แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมา ล้วนมีความไม่เที่ยง คือมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สุดท้ายไม่ช้าก็เร็ว สิ่งที่น่าพึงพอใจ ทั้งหลายนั้น ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปเป็น สิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ (อันได้แก่ ความแก่, ความเจ็บ, ความตาย, ความพลัดพราก เป็นต้น) และเมื่อใดที่ สิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ ได้เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา แล้วขณะถ้านี้เราไม่มี สติ-ปัญญา-สมาธิ (คือไม่มีการตั้งใจระลึกถึงอริยสัจ ๔ ที่เป็นความรู้เรื่องการดับทุกข์) มันก็จะทำให้จิตของเราเกิด กิเลส ประเภท ความไม่พึงพอใจ ต่อ สิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ นั้นขึ้นมาทันทีอย่างรุนแรง และเมื่อเราไม่สามารถหนีพ้นจาก สิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ นั้นได้ (เพราะว่าเราได้รักหรือยึดถือหรือผูกพันว่ามันเป็น ตัวเรา-ของเรา ไปเสียแล้ว) จึงทำให้เราต้องทนอยู่กับ สิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ นั้นไปด้วยความ ไม่พึงพอใจ หรือ ความไม่อยากได้ อย่างมากอยู่ตลอดเวลา ซึ่งความไม่พึงพอใจหรือความไม่อยากได้อย่างมากนี้เอง ที่ทำให้จิตใจของเราเกิด ความรู้สึกที่ทรมานมาก หรือ ความรู้สึกที่ทนได้ยากมาก ที่เรียกว่า ความทุกข์ (ความเศร้าโศกฯ) ขึ้นมาทันที นิพพานคืออะไร? คำว่า นิพพาน แปลว่า ไม่ร้อนแล้ว หรือ ความร้อนได้หมดสิ้นไปแล้ว ซึ่งก็หมายถึง ความเย็น นั่นเอง ซึ่งคำว่านิพพานนี้ก็เป็นคำธรรมดาที่ชาวบ้านของอินเดียในสมัยนั้นเขาใช้กันอยู่ในความหมายทางวัตถุ แต่เมื่อฤๅษีหรือนักบวชในสมัยนั้นเขาค้นพบวิธีการทำจิตให้ไม่มีความทุกข์ได้แล้ว แต่เขาก็ไม่รู้จะใช้คำอะไรมาใช้เรียกความรู้สึกขณะที่จิตไม่มีความทุกข์ เขาจึงยืมคำว่านิพพานของชาวบ้านมาใช้เรียก ซึ่งความหมายของคำว่านิพพานตามหลักพุทธศาสนาก็หมายถึง ความเย็นใจ หรือ ความสงบเย็นของจิตใจ ซึ่งการที่จิตใจของเราเกิดความทุกข์ก็เพราะมีกิเลสเป็นเหตุ แต่เมื่อใดที่จิตของเราไม่มีกิเลส มันก็จะไม่มีความทุกข์ เมื่อจิตไม่มีความทุกข์ มันก็จะกลับคืนมาเป็นจิตที่บริสุทธิ์ตามธรรมชาติเดิมของมัน ซึ่งจิตที่บริสุทธิ์นี้จะมีนิพพานหรือความสงบเย็นอยู่แล้วเป็นพื้นฐาน โดยนิพพานนี้มีอยู่ ๒ ระดับ คือ นิพพานขั้นต้น กับ นิพพานสูงสุด โดยนิพพานขั้นต้นนั้นก็คือ ความอุ่นใจ ที่เกิดขึ้นจากการที่เราเป็นคนดีมีศีลธรรมและได้ทำหน้าที่ของเราอย่างถูกต้องและสมบูรณ์แล้ว ซึ่งนิพพานขั้นต้นนี้เราทุกคนที่เป็นคนดีก็ย่อมมีกันอยู่แล้วบ่อยๆในชีวิตประจำวัน แต่สำหรับคนที่ชอบทำความผิดหรือความชั่ว ก็จะมีนิพพานขั้นต้นนี้น้อย ส่วนนิพพานสูงสุดก็คือ ความสงบเย็นสูงสุด หรือ ความเย็นใจอย่างที่สุด ที่เกิดจากการที่จิตของเราไม่มีกิเลสและนิวรณ์ครอบงำจิต ซึ่งการที่จิตจะนิพพานสูงสุดได้ จะต้องใช้สมาธิระดับ ฌาน มาระงับหรือดับกิเลสและนิวรณ์ ส่วนการที่จิตมีสมาธิระดับฌานได้ จะต้องมีการฝึกอย่างนักมาก่อน หรืออาจเกิดจากการพิจารณาให้เกิดปัญญาตามหลักอริยมรรคอย่างถูกต้อง ก็จะทำให้จิตเกิดสมาธิระดับฌานขึ้นมาได้โดยไม่ยาก โดยนิพพานทั้ง ๒ ระดับนี้ ยังเป็นได้ทั้ง นิพพานชั่วคราว และ นิพพานถาวร โดยนิพพานชั่วคราวก็คือ จิตมันนิพพานเป็นครั้งคราวเท่านั้น ซึ่งนิพพานชั่วคราวนี้ก็สามารถมีได้เองตามธรรมชาติ คือเมื่อจิตมันถูกกิเลสแผดเผามากๆเข้าจนมันอ่อนล้าแล้ว กิเลสมันก็จะระงับหรือดับไปของมันได้เอง หรือถ้าเราสามารถฝึกจิตให้มีสมาธิได้ จิตก็จะนิพพานได้ทันทีที่จิตมีสมาธิ แต่ถ้าจิตไม่มีสมาธิเมื่อใด นิพพานก็จะหายไปทันที ส่วนนิพพานถาวรก็คือ จิตมันนิพพานอยู่ตลอดเวลาอย่างมั่นคงจนตลอดชีวิต ซึ่งการที่จิตจะนิพพานถาวรได้ จะต้องมีการปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ตามหลักอริยมรรคอย่างจริงจังและต่อเนื่องนานๆ จนสังโยชน์ถูกทำลายไปอย่างสิ้นเชิง ก็จะทำให้จิตนิพพานถาวรได้ สรุปได้ว่า นิพพาน ก็คือ ความสงบเย็นของจิตใจ หรือ ความเย็นใจ ที่ปกติ (คือบ่อยๆ) เราก็พอจะมีกันอยู่แล้วในชีวิตประจำวันของเราในขณะที่จิตของเราไม่มีกิเลสหรือนิวรณ์ครอบงำ เพียงแต่ว่าเราอาจจะมีไม่บ่อยและไม่ถาวรเท่านั้น ซึ่งพระพุทธเจ้านั่นเองที่มาสอนให้เรามีนิพพานสูงสุดและถาวร ซึ่งนิพพานนี่เองที่ได้หล่อเลี้ยงจิตของเราเอาไว้ไม่ให้เป็นบ้าตายเพราะถูกกิเลสแผดเผาอยู่ตลอดทั้งวัน ดังนั้นเราจึงควรขอบคุณนิพพานที่ได้ช่วยให้จิตของเราได้พักผ่อน และไม่เนรคุณต่อนิพพานด้วยการเกลียดกลัวความสงบ แล้วหนีไปแสวงหาความสุขทางตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย อย่างที่กำลังทำกันอยู่ อริยมรรคเป็นอย่างไร? คำว่า มรรค แปลว่า หนทาง ส่วนคำว่า อริยมรรค แปลว่า หนทางอันประเสริฐ ซึ่งก็หมายถึง วิธีการปฏิบัติเพื่อความไม่มีทุกข์ หรือ พ้นทุกข์ หรือ นิพพาน โดยอริยมรรคนี้แม้จะเป็นหนทางเดียวหรือวิธีเดียว แต่ว่ามีองค์ประกอบอยู่ ๘ องค์ประกอบ อันได้แก่ ๑. สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง คือ ความเห็นว่าร่างกายกับจิตใจของเรานี้เป็นอนัตตา-สุญญตา ๒. สัมมาสังกัปโป ความดำริหรือจุดประสงค์ถูกต้อง คือ ความดำริที่จะกำจัดกิเลส ๓. สัมมาวาจา การพูดจาถูกต้อง คือ การพูดที่จะไม่ทำให้เกิดกิเลส ๔. สัมมากัมมันโต การกระทำทางกายที่ถูกต้อง คือ การกระทำทางกายที่จะไม่ทำให้เกิดกิเลส ๕. สัมมาอาชีโว การเลี้ยงชีวิตถูกต้อง คือ การประกอบอาชีพและบริหารร่างกายที่ไม่เป็นไปเพื่อกิเลส ๖. สัมมาวายาโม ความเพียรถูกต้อง คือ ความเพียรในการปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลส ๗. สัมมาสติ การมีสติถูกต้อง คือ การระลึกถึงปัญญา (คือสัมมาทิฏฐิ) ๘. สัมมาสมาธิ การมีสมาธิถูกต้อง คือ การที่จิตตั้งมั่นอยู่ในปัญญาอย่างแน่วแน่ตลอดเวลา องค์ประกอบทั้ง ๘ ของอริยมรรคนี้สรุปย่อลงเป็น ปัญญา ศีล สมาธิ โดยหัวใจของปัญญาก็คือ ความเห็น (หรือความเข้าใจ) ว่าร่างกายกับจิตใจของเรานี้เป็นอนัตตา (ไม่ใช่อัตตา), ส่วน ศีล ก็หมายถึง ความปรกติของจิต, ส่วนสมาธิ ก็หมายถึง จิตที่ตั้งมั่นอยู่ในปัญญาอย่างแน่วแน่ โดยการปฏิบัติตามหลักอริยมรรคนั้น ก็เริ่มที่การมีสติระลึกถึงเรื่องปัญญาอยู่ตลอดเวลา (คือเรื่องความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และ สุญญตาของทุกสิ่งที่เรากำลังสัมผัสอยู่ โดยเน้นมาที่ร่างกายและจิตใจของเรา) เมื่อเรามีการระลึกอยู่ในปัญญาอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้จิตเกิดสมาธิที่ถูกต้องขึ้นมาได้เองโดยอัตโนมัติ แต่เราก็ต้องมี ศีล คือจิตที่ปรกติอยู่ก่อนแล้วเป็นพื้นฐาน เพราะศีลจะเป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิ ส่วนสมาธิก็จะเป็นพื้นฐานให้เกิดปัญญา แล้วปัญญาก็จะทำให้เกิดศีลและสมาธิที่ถูกต้องยิ่งขึ้น แล้วสมาธิที่สูงขึ้นก็จะทำให้เกิดปัญญาที่ละเอียดและแหลมคมยิ่งขึ้นจนทำให้กิเลสที่ยังไม่เกิดก็จะไม่เกิดขึ้น หรือกิเลสที่กำลังเกิดอยู่ก็จะระงับหรือดับหายไปทันที (แม้เพียงชั่วคราว) เมื่อจิตไม่มีกิเลสมันก็จะไม่มีความทุกข์ เมื่อจิตไม่มีความทุกข์มันก็จะนิพพานหรือสงบเย็นทันที (แม้เพียงชั่วคราว) แต่ถ้าเราสามารถปฏิบัติได้เช่นนี้อย่างต่อเนื่องนานๆ (คืออาจจะเป็นหลายเดือนหรือหรือปีก็ได้ ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละคน) จนสังโยชน์หรือความเคยชินของกิเลสได้เลือนหายไปจากจิตใต้สำนึกของเราอย่างสิ้นเชิง ก็จะทำให้จิตของเรานิพพานอย่างสูงสุดและถาวรได้ ศีลคืออะไร? คำว่า ศีล แปลว่า ปรกติ คือหมายถึง จิตที่ปรกติ ซึ่งจิตที่ไม่ปรกติก็จะเป็นจิตที่มีกิเลสที่รุนแรงครอบงำอยู่ ซึ่งก็จะทำให้จิตเกิดอาการดิ้นรน (ไม่สงบ) เร่าร้อน (ไม่เย็น) และเกิดความทุกข์ ไปตามอำนาจของกิเลส แต่ถ้าจิตปรกติ จิตก็จะมีความสงบเย็นและทำให้จิตมีสมาธิขึ้นมาได้เอง โดยการที่จะทำให้จิตปรกติได้จะต้องเกิดจากการที่เรามีเจตนา (ความจงใจ) ที่จะรักษาการกระทำทางกายและการพูดของเราให้เรียบร้อยและงดงามอยู่ตลอดเสมอ ซึ่งการทำให้จิตปรกติก็สรุปอยู่ที่ การมีเจตนาที่จะไม่เบียดเบียนชีวิต ทรัพย์สิน และ กามารมณ์ (สิ่งที่น่ารักน่าใคร่) ของผู้อื่น รวมทั้งการมีเจตนาที่จะไม่พูดโกหก คำหยาบ ส่อเสียด และเพ้อเจ้อ อยู่เสมอ โดยศีลนี้เป็นสิ่งจำเป็นมากในการปฏิบัติอริยมรรคเพื่อดับทุกข์ ถ้าไม่มีศีลแม้เพียงข้อเดียว เช่น การพูดคำหยาบ หรือการพูดเพ้อเจ้อ (คือเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อการดับทุกข์) เป็นต้น ก็เท่ากับเป็นการทำให้จิตของเราไม่ปรกติแล้ว เพราะเป็นการพูดด้วยกิเลสหรือมีกิเลสหยาบๆครอบงำจิตอยู่ในขณะที่กำลังพูด ซึ่งกิเลสนี้ก็จะทำให้จิตไม่มีสมาธิ เมื่อจิตไม่มีสมาธิก็จะทำให้ปัญญาไม่เกิด เมื่อไม่มีสมาธิและปัญญา อริยมรรคก็ไม่เกิดขึ้น จึงไม่มีอะไรมาทำให้กิเลสและความทุกข์ดับหายไปได้ สมาธิคืออะไร? ก่อนที่จะศึกษาเรื่องสมาธิ เราจะต้องรู้จักสิ่งที่เป็นศัตรูกับสมาธิก่อน ซึ่งก็ได้แก่ กิเลสและนิวรณ์ โดย กิเลส แปลว่า สิ่งสกปรก คือหมายถึง สิ่งทำจิตให้สกปรก โดยกิเลสมีอาการโดยสรุป ๓ อาการ คือ (๑) เอาเข้ามาให้ตัวเรา อันได้แก่ ความพอใจ หรือ ความยินร้าย หรือ ความรัก, ความชอบ, ความอยากได้ เป็นต้น ซึ่งจัดเป็นกิเลสประเภทบวก (๒) ผลักออกไปจากตัวเรา อันได้แก่ ความไม่พอใจ หรือ ความยินร้าย, หรือ ความโกรธ, ความเกลียด, ความกลัว, ความไม่อยากได้ เป็นต้น ซึ่งจัดเป็นกิเลสประเภทลบ (๓) ไม่รู้ว่าจะเอาเข้ามาหรือผลักออกไปดี อันได้แก่ ความลังเลใจ หรือ ความไม่แน่ใจ, ความงง, ความสับสน, ความหลงวนเวียน เป็นต้น ซึ่งจัดเป็นกิเลสประเภทกลางๆ โดยกิเลสที่ทำให้จิตเกิดความทุกข์ก็คือ กิเลสประเภท ความพอใจ-ไม่พอใจ แต่ถ้าเป็นกิเลสอ่อนๆที่ยังไม่ทำให้จิตเกิดความทุกข์เราจะเรียกว่า นิวรณ์ ที่หมายถึง สิ่งปิดกั้นจิตจากสิ่งดีงาม (คือจากสมาธิ ปัญญา นิพพาน) โดยอาการของนิวรณ์นั้นสรุปได้ ๕ อาการ อันได้แก่ (๑) กามฉันทะ คือ ความพึงพอใจเล็กๆน้อย (๒) พยาบาท คือ ความไม่พึงพอใจเล็กๆน้อย (๓) ถีนมิทธะ คือ ความหดหู่ เซื่องซึม มีนชา (๔) อุทธัจจกุกกุจจะ คือความฟุ้งซ่านอย่างน่ารำคาญใจ (๕) วิจิกิจฉา คือความลังใจในสิ่งที่เราเชื่อถืออยู่ (คือในพระพุทธเจ้าว่ามีอยู่จริงหรือไม่? ในพระธรรมว่าดับทุกข์ได้จริงหรือไม่? ในพระอริยสงฆ์ที่ปฏิบัติตามพระธรรมจนดับทุกข์ได้จริงนั้นมีอยู่จริงหรือไม่?) โดยในชีวิตประจำวันของเรานี้ ถ้าขณะใดที่จิตของเราไม่มีกิเลสและนิวรณ์ครอบงำ (แม้เพียงชั่วคราว) มันก็จะมีสมาธิขึ้นมาได้เองและจิตก็จะนิพพานชั่วคราวได้เองตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ถ้าขณะใดที่จิตของเราไม่มีสมาธิ และมีสิ่งภายนอกที่รุนแรงมากระตุ้น แล้วจิตก็ได้ปรุงแต่งกิเลสให้เกิดขึ้นมา จิตจึงจะเกิดความทุกข์ แต่ถึงแม้ขณะใดก็ตาม แม้จิตของเราจะยังไม่เกิดกิเลสขึ้นมาก็ตาม แต่ถ้าเรายังไม่มีสมาธิ มันก็จะเกิดอาการของนิวรณ์ไม่ตัวใดก็ตัวหนึ่งขึ้นมาครอบงำจิตของเราอยู่เกือบจะทั้งวัน ซึ่งนิวรณ์นี้เองที่ทำให้จิตของเราขุ่นมัว ไม่สงบ ไม่ปรกติ หรือมีความฟุ้งซ่าน มีความรำคาญใจ ฯ อยู่ตลอดเวลา แล้วมันก็ทำให้จิตของเราไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา และไม่นิพพาน (คือไม่สงบเย็น) ซึ่งนี่ก็แสดงว่า นิวรณ์นี้เป็นสิ่งเลวร้ายอันดับแรกที่ครอบงำจิตของเราอยู่เกือบจะตลอดทั้งวัน ซึ่งสิ่งที่จะระวังไม่ให้นิวรณ์เกิดขึ้นได้ก็คือ ต้องมีสติคอยระวังอย่าให้นิวรณ์เกิดขึ้น แล้วสติก็ต้องระลึกเอาปัญญาออกมาดับทุกข์อย่างตั้งใจอย่างที่สุด ซึ่งความตั้งใจนี้ก็จะทำให้จิตเกิดสมาธิที่เหมาะสมขึ้นมาได้เองโดยอัตโนมัติ แล้วจิตก็จะว่างจากนิวรณ์ เมื่อจิตไม่มีนิวรณ์ (แม้เพียงชั่วคราว) มันก็จะนิพพาน (คือสงบเย็น) ทันที (แม้เพียงชั่วคราว) โดยคำว่า สมาธิ แปลว่า ตั้งมั่นอยู่เสมอ คือเป็นอาการที่จิตของเราจับหรือจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งตลอดเวลาได้นานๆ ซึ่งสมาธินี้ก็มี ๒ อย่าง คือ สมาธิผิด กับ สมาธิถูก โดยสมาธิผิดก็คือการที่จิตของเราจดจ่อหรือตั้งมั่นอยู่ในสิ่งที่ทำให้เกิดกิเลสหรือนิวรณ์ อย่างเช่น เรากำลังคิดถึงเรื่องเพศตรงข้ามด้วยความพึงพอใจ หรือกำลังคิดจะลักขโมยหรือทำร้ายผู้อื่น เป็นต้น ซึ่งผลของการมีสมาธิผิดก็คือ ทำให้จิตของเราเกิดความเร่าร้อนใจหรือความทุกข์ใจไปตามอำนาจของกิเลสที่เกิดขึ้น ส่วนสมาธิถูกก็คือ การที่จิตของเราจดจ่อหรือตั้งมั่นอยู่ในสิ่งที่บริสุทธิ์ หรือสิ่งที่ไม่ทำให้เกิดกิเลสหรือนิวรณ์ อย่างเช่น การที่เราตั้งใจเรียนหนังสือ หรือตั้งใจอ่านหนังสือ หรือตั้งใจคิดหรือพูดหรือทำในสิ่งที่ดีหรือเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เป็นต้น ซึ่งผลจากการมีสมาธิถูกก็คือ ทำให้เราสติสมบูรณ์, ทำให้มีความจำดี, ทำให้มีการคิดที่ละเอียดและซับซ้อนได้, ทำให้จิตของเรามีความสุขที่ประณีต, และทำให้จิตนิพพานได้ รวมทั้งถ้าเรานำเอาสมาธิถูกนี้มาพิจารณาให้เกิดปัญญา (คือพิจารณาถึงเรื่องความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สุญญตา) ก็จะทำให้เกิดเป็นสัมมาสมาธิ (สมาธิที่ดับทุกข์ได้) ตามหลักอริยมรรคขึ้นมาได้ (หมายเหตุ. ถ้าพบคำว่าสมาธิในพุทธศาสนา ก็ขอให้เข้าใจว่าหมายถึงสัมมาสมาธิ) โดยการปฏิบัติตามหลักอริยมรรคนั้น ถ้าเราตั้งใจคิดหรือพูดหรือทำโดยมีการระลึกถึงความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สุญญตา อยู่ตลอดเวลา ก็จะทำให้จิตของเราเกิดสัมมาสมาธิ (สมาธิที่ถูกต้องตามหลักอริยมรรค) ขึ้นมาได้แล้วโดยที่ไม่จำเป็นต้องไปฝึกมาก่อนก็ได้ แต่บางคนก็อาจทำไม่ได้เพราะไม่เคยฝึกทำอะไรด้วยความตั้งใจมาก่อน (คนที่เรียนหนังสือเก่งๆจะมีสมาธิสูงอยู่แล้วเพราะเขามีความตั้งใจในการเรียนมาก) ดังนั้นผู้ที่ไม่มีพื้นฐานเรื่องสมาธิมาก่อนก็จำเป็นที่จะต้องมีการฝึกสมาธิอย่างเป็นระบบมาก่อน จึงจะปฏิบัติอริยมรรคได้ โดยวิธีการฝึกสมาธิอย่างเป็นระบบนั้นก็มีอยู่หลายวิธี แต่สรุปอยู่ที่มีสติ หรือการตั้งใจหรือการกำหนดจิตให้จับหรือจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่ทำให้เกิดกิเลสและนิวรณ์ให้ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการมีสติต่อเนื่องนานๆนี้เองที่ทำให้จิตเกิดสมาธิขึ้นมา แต่ถ้าขาดสติเมื่อใด ก็จะทำให้ไม่มีสมาธิ ส่วนเคล็ดลับในการทำให้จิตมีสติต่อเนื่องนานๆนั้นก็เริ่มจากขึ้นพื้นฐาน คือ ให้เราเอาจิตมาจับหรือกำหนดอยู่ที่การหายใจเข้าและออกของร่างกายเอาไว้ตลอดเวลาในขณะที่เราคิดพิจารณาให้เกิดปัญญา (คือการคิดพิจารณาเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สุญญตา) คือเมื่อเราหายใจเข้า ก็ให้เรารู้สึกตัวว่าเรากำลังหายใจเข้า และให้เราควบคุมให้ลมหายใจช้าและยาว ซึ่งในช่วงหายใจเข้านี้ให้เราพยายามหยุดความคิดก่อน เมื่อเราหายใจออกก็ให้ควบคุมให้ลมหายใจช้าและยาวเหมือนเดิม แต่ในช่วงหายใจออกนี้ก็ให้เราตั้งใจคิดเรื่องปัญญาด้วยข้อความสั้นๆและช้าๆ พอช่วงหายใจเข้าก็ให้หยุดคิดอีก และก็ทำให้เราทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ (คือคิดเฉพาะช่วงหายใจออก แต่ช่วงหายใจเข้าก็ให้หยุดคิด) ก็จะทำให้จิตเกิดสมาธิได้ง่ายในเวลาไม่กี่นาที รวมทั้งการคิดพิจารณาเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สุญญตานี้ ก็ยังทำให้จิตเกิดปัญญาพร้อมกันได้ไปในตัว แต่ถ้าเรามีความชำนาญแล้ว เราสามารถฝึกให้มีสมาธิได้จากการพูดหรือการทำหน้าที่การงานของเราก็ได้ และจะใช้อิริยาบถอะไรในการฝึกก็ได้ ซึ่งสิ่งที่ยืนยันว่าเรามีสมาธิถูกต้องแล้วก็คือ การที่จิตของเราไม่มีกิเลสและนิวรณ์ครอบงำ และจิตของเราก็มีความสงบเย็น (นิพพาน) อยู่ด้วย ซึ่งการที่จิตของเราจะนิพพานสูงสุดได้ (คือสงบเย็นสูงสุด) จะต้องเป็นจิตที่มีสมาธิระดับสูง (ที่เรียกว่าฌาน) ที่เกิดจากการปฏิบัติตามหลักอริยมมรรคนั่นเอง ฌานคืออะไร? จิตที่มีสมาธิสูงๆนี้ เรียกว่า ฌาน ที่แปลว่า การเพ่ง หรือ ระดับการเพ่ง ซึ่งระดับของฌานที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ในอริยมรรคนั้นมีอยู่ ๔ ระดับ (สมาธิที่สูงกว่านี้ก็มีอยู่ แต่ไม่จำเป็น) อันได้แก่ ฌานที่ ๑ มีองค์ประกอบคือ วิตก (การที่จิตจดจ่ออยู่กับปัญญา), วิจาร (การที่จิตซึมซาบเคล้าเคลียอยู่กับปัญญา), ปีติ (ความอิ่มเอมใจหรือความตื่นเต้นยินดีจากการที่เอาชนะนิวรณ์ได้), สุข (ความสุขสงบประณีต), เอกัคคตา (การที่องค์ประกอบทั้งหมดรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว) ฌานที่ ๒ มีองค์ประกอบคือ ปีติ, สุข, เอกัคคตา ฌานที่ ๓ มีองค์ประกอบคือ สุข, เอกัคคตา ฌานที่ ๔ มีองค์ประกอบคือ อุเบกขา, เอกัคคตา เมื่อเราตั้งใจพิจารณาร่างกายกับจิตใจถึงความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างจริงจัง ก็จะทำให้นิวรณ์อ่อนแรงลง เมื่อนิวรณ์อ่อนแรงลง ก็จะทำให้เกิดปีติและความสุขสงบขึ้นมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว ก็เรียกว่าบรรลุฌานที่ ๑ ซึ่งเมื่อจิตอยู่ในฌานที่ ๑ นานๆ ก็จะทำให้วิตกและวิจารหายไป เพราะชำนาญแล้ว จึงเหลือเพียงปีติกับสุขสงบเท่านั้น ก็เรียกว่าบรรลุฌานที่ ๒ และเมื่ออยู่ฌานที่ ๒ นานๆ ปิติก็จะหายไปเพราะไม่ตื่นเต้นแล้ว จึงคงมีเพียงสุขสงบเท่านั้น ก็เรียกว่าบรรลุฌานที่ ๓ และเมื่ออยู่ในฌานที่ ๓ นานๆ สุขสงบก็จะหายไป เพราะมันจิตมันเบื่อแล้ว จึงเหลือเพียงอุเบกขา (คือความรู้สึกกลางๆระหว่างสุขเวทนากับทุกขเวทนา) เท่านั้น ก็เรียกว่าจิตบรรลุฌานที่ ๔ แล้ว ซึ่งในฌานที่ ๔ นี้เองที่จิตจะบริสุทธิ์ที่สุด (คือนิวรณ์ดับสนิท) และนิพพานสูงสุดก็จะปรากฏกับจิตได้ (เราจะไม่ใช้คำว่า "เกิด" กับนิพพาน เพราะนิพพานไม่มีการเกิด แต่จะใช้คำว่า ปรากฏ ที่หมายถึง นิพพานมันมีอยู่แล้วตลอดเวลา แต่จิตได้ถูกกิเลสปิดบังไว้ไม่ให้จิตได้สัมผัส เมื่อกิเลสดับหายไป จิตก็จะสามารถสัมผัสกับนิพพานได้อีกเรื่อยไป) สรุปได้ว่า การปฏิบัติสมาธิตามหลักอริยมรรคนั้น เพียงแค่เราตั้งใจพิจารณาธรรมะก็ทำให้เกิดสมาธิขั้นสูงขึ้นมาได้แล้ว ซึ่งการปฏิบัติอริยมรรคนี้ เราสามารถปฏิบัติในขณะที่เรากำลังทำกิจวัตรประจำวันของเราอยู่ก็ได้ หรือทำในขณะที่กำลังเรียนหนังสือหรืออ่านหนังสือหรือทำการบ้านของนักเรียนก็ได้ หรือในขณะที่เรากำลังทำหน้าที่การงานที่สุจริตของเราก็ได้ โดยสิ่งที่จะเป็นเครื่องชี้วัดว่าการปฏิบัติของเราถูกต้องหรือไม่ก็คือ "ความทุกข์" คือถ้าเราปฏิบัติแล้วความทุกข์ไม่ดับลงหรือไม่ลดลง (แม้เพียงชั่วคราว) ก็แสดงว่าเราปฏิบัติผิด แต่ถ้าเราปฏิบัติแล้วความทุกข์ดับลงหรือลดลงจริง (แม้เพียงชั่วคราว) ก็แสดงว่าเราปฏิบัติถูก ปัญญาคืออะไร? คำว่า ปัญญา แปลว่า ความรอบรู้ หรือ รู้รอบ คือหมายถึง ความรอบรู้ในสิ่งที่ควรรู้ ซึ่งสิ่งที่ควรรู้นั้นก็คือ ความรู้ที่ดับทุกข์ได้ (ถ้าความรู้ใดนำมาใช้ดับทุกข์ไม่ได้ ความรู้นั้นไม่เรียกว่าปัญญา แต่เรียกว่า ความรู้ เฉยๆ) โดยความรู้ที่ดับทุกข์ได้นั้นก็คือ ความรู้ในอริยสัจ ๔ นั่นเอง ซึ่งปัญญานี้บางทีก็เรียกว่า วิชชา หรือ ดวงตาเห็นธรรม ซึ่งการมีปัญญานี้เองที่ทำให้ภาวะพุทธะ (ตื่น) ปรากฏกับจิตแล้วทำให้จิตนั้นกลายเป็นอริยะ (คือมีความประเสริฐ) เพราะมีกิเลสน้อยหรือไม่มีกิเลสเลย โดยปัญญานี้มีอยู่ ๓ ระดับ อันได้แก่ ๑. สุตมยปัญญา คือ ปัญญาขั้นจำได้ คือเมื่อเราได้ฟังหรืออ่านคำสอนอริยสัจ ๔ ที่ถูกต้องมาแล้วและเราก็จำได้ ก็เรียกว่าได้เกิด ปัญญาขั้นจำได้ ขึ้นมาแล้ว ซึ่งปัญญาขั้นนี้ยังดับทุกข์ไม่ได้ ๒. จินตามยปัญญา คือ ปัญญาขั้นเข้าใจ คือเป็นการนำเอาคำสอนอริยสัจ ๔ ที่จำได้นั้นมาพิจารณาหาเหตุหาผล จนเกิดความเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง และหาจุดผิดหรือค้านไม่ได้ ก็เรียกว่าได้เกิด ปัญญาขั้นเข้าใจ ขึ้นมาแล้ว ซึ่งปัญญาขั้นนี้ก็เริ่มดับทุกข์ได้บ้างแล้ว เพราะการที่เราตั้งใจคิด ก็จะทำให้จิตมีสมาธิที่เหมาะสมขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ๓. ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาขั้นเห็นแจ้ง คือเป็นการนำเอาความเข้าใจในอริยสัจ ๔ นั้นมาทดลองปฏิบัติอย่างจริงจัง จนเกิดผลเป็นความดับหายไปของความทุกข์จริงๆ และทำให้นิพพานปรากฏแก่จิตของเราจริงๆ (แม้เพียงชั่วคราว) ก็เรียกว่าได้เกิด ปัญญาขั้นเห็นแจ้ง (หรือรู้จริง) ขึ้นมาแล้ว ซึ่งปัญญาขั้นเห็นแจ้งจัดว่าเป็นปัญญาสูงสุดของพุทธศาสนา สรุปได้ว่าหลักการศึกษาอริยสัจ ๔ นั้น ก่อนอื่นเราก็ต้องอ่านหรือฟังคำสอนเรื่องอริยสัจ ๔ ที่เป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้ามาก่อน แล้วนำคำสอนนั้นมาพิจารณาหาเหตุผล จนเกิดความเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง แล้วนำความเข้าใจนั้นมาพิสูจน์ ด้วยการทดลองปฏิบัติอย่างจริงจัง จนเกิดผลเป็นความดับหายไปของความทุกข์ (หรือนิพพาน) จริงๆ (แม้เพียงชั่วคราว) ก็จะทำให้จิตเกิดความเห็นแจ้งว่า คำสอนอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้านี้ดับทุกข์ได้จริง ซึ่งนี่ก็คือ หรือ การเห็นอริยสัจ หรือ การเกิด ดวงตาเห็นธรรม ที่หมายถึง เกิดปัญญาเห็นแจ้งอริยสัจ ๔ นั่นเอง ซึ่งการเกิดดวงตาเห็นธรรมนี้เอง ที่ทำให้จิตที่เห็นแจ้งนั้น ตื่น หรือเป็น พุทธะ หรือเป็น อริยะ (คือประเสริฐ) ระดับต้น (คือโสดาบัน) ทันที สรุปวิธีการปฏิบัติอริยสัจ ๔ ได้ว่าอย่างไร? อริยสัจ ๔ คือ ความรู้ในเรื่องการดับทุกข์ ส่วนวิธีการดับทุกข์ตามหลักอริยสัจ ๔ เรียกว่า อริยมรรค โดยหัวใจในการปฏิบัติของอริยมรรคก็คือ ปัญญา ส่วนหัวใจของปัญญาก็คือ ความเข้าใจและเห็นแจ้งว่าร่างกายและจิตใจของเราเป็นอนัตตา (คือไม่ใช่อัตตา) ซึ่งนี่ก็แสดงว่า การที่เราจะศึกษาเรื่องการดับทุกข์ตามหลักอริยสัจ ๔ เราจำเป็นที่จะต้องมีความรู้พื้นฐานเรื่อง อนัตตา และ ขันธ์ ๕ มาก่อน เราจึงจะศึกษาอริยสัจ ๔ แล้วเกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องได้ และนำไปปฏิบัติจนเกิดความเห็นแจ้งได้ แต่ถ้าเราไม่มีความรู้พื้นฐานทั้ง ๒ เรื่องนี้ เราก็จะศึกษาอริยสัจ ๔ ไม่เข้าใจและเห็นแจ้ง เมื่อเราได้ศึกษาเรื่อง อนัตตา และ ขันธ์ ๕ มาจนเกิดความเข้าใจแล้ว ทีนี้ก็ให้เรามาศึกษาหลักอริยสัจ ๔ โดยเริ่มจากเรื่องความทุกข์ คือความทุกข์ในอริยสัจ ๔ นั้น หมายถึง ความเศร้าโศก (หรือความเสียใจ ความไม่สบายใจฯ) ที่เกิดจากการที่จิตที่มีอวิชชา (คือความรู้สึกตัวว่ามีตนเองอยู่จริง) ครอบงำ ได้เกิด อุปาทาน คือไปยึดถือเอาขันธ์ ๕ คือร่างกายและจิตใจ รวมทั้งสิ่งที่เกี่ยวข้องกับร่างกายทั้งหลาย ว่ามันเป็น ตัวเรา-ของเรา โดยธรรมชาติของขันธ์ ๕ นั้น เริ่มต้นมันก็ยังเป็น สิ่งที่น่าพึงพอใจ อยู่ (คือมีความหนุ่ม-ความสาว, มีความสุขสบายกาย, ยังมีบุคคลและสิ่งอันเป็นที่รักอยู่, ยังไม่ประสบกับบุคคลหรือสิ่งอันไม่เป็นที่รัก, และยังมีความสมหวังอยู่) ซึ่งจุดนี้จะยังไม่เป็นปัญหา แต่สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาย่อมมีความไม่เที่ยงและมีภาวะของทุกขัง ดังนั้นจาก สิ่งที่น่าพึงพอใจ ของขันธ์ ๕ จึงได้เปลี่ยนไปเป็น สิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ (คือ ความแก่, ความเจ็บ, ความตาย, ความพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งอันเป็นที่รัก, ความประสบกับบุคคลหรือสิ่งอันไม่เป็นที่รัก, และความผิดหวัง) และเมื่อสิ่งที่จิตได้ยึดถือเอาไว้นั้นต้องประสบกับ สิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ จึงทำให้จิตที่ไปยึดถือนั้นเกิดความทุกข์ (ความเศร้าโศก) ขึ้นมาทันที โดยเหตุที่ทำให้จิตเกิดความทุกข์ก็คือ กิเลสประเภท ความไม่พึงพอใจ ต่อ สิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ ที่กำลังเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา คือเมื่อจิตเกิดความไม่พึงพอใจ ต่อ สิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ ขึ้นมาเมื่อใด จิตก็จะเกิดความทุกข์ (ความเศร้าโศก) ขึ้นมาทันที แต่เมื่อใดที่ จิตไม่เกิดกิเลส ประเภท ความไม่พึงพอใจ ต่อ สิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ จิตก็จะไม่เกิดความทุกข์ และเมื่อจิตไม่มีความทุกข์ มันก็จะนิพพาน คือสงบเย็นทันที (แม้เพียงชั่วคราว) ส่วนวิธีการดับทุกข์ตามหลักอริยมรรคก็คือ การดับที่กิเลสโดยใช้สมาธิ แต่การดับที่กิเลสโดยตรงนั้นมันทำได้ยาก เพราะกิเลสมันมีความแข็งแรงมาก ต้องใช้สมาธิขั้นสูง จึงจะดับมันได้แต่ถึงจะดับได้ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งคนธรรมดาที่ไม่เคยฝึกสมาธิขั้นสูงมาก่อนจะทำไม่ได้ แต่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบวิธีการที่ง่ายกว่านั้น ที่แม้คนที่ไม่เคยฝึกสมาธิขั้นสูงมาก่อนก็สามารถทำได้ โดยการไปกำจัดที่เหตุที่ทำให้กิเลสเกิดขึ้นมา คือ จากความจริงพื้นฐานของธรรมชาติที่ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องมีเหตุมาทำให้เกิดขึ้น ดังนั้นก็แสดงว่า กิเลสมันก็ต้องมีเหตุมาทำให้เกิดขึ้น และถ้าเราค้นพบว่าอะไรเป็นเหตุมาทำให้กิเลสเกิดขึ้น แล้วเราก็ไปกำจัดที่เหตุของกิเลสแทน ก็จะทำให้กิเลสดับหายไปได้ทันที (แม้เพียงชั่วคราว) โดยพระพุทธเจ้าทรงค้นพบว่า เหตุที่ทำให้กิเลสเกิดขึ้นนั้นก็คือ อวิชชา หรือ ความรู้สึกตัวว่ามีตัวเราอยู่จริง (คืออวิชชานี้มันเป็นสัญชาตญาณพื้นฐานของจิต) คือ อวิชชา หรือ ความรู้สึกตัวว่ามีตัวเราอยู่จริง นี้เองที่ทำให้จิตเกิดความเข้าใจผิด (หรือความเห็นผิด) ว่า ร่างกายและจิตใจ (ที่สมมติเรียกว่าเป็นตัวเรา-ของเรา) นี้เป็น ตัวเรา-ของเรา จริงๆ (คือความเห็นผิดนี้เรียกว่า สักกายทิฏฐิ ที่เป็นสังโยชน์ตัวแรก) เมื่อเราเข้าแล้วว่า อวิชชา ทำให้จิตเกิดสักกายทิฏฐิ, แล้วสักกายทิฏฐิ ก็ทำให้จิตเกิดกิเลส, แล้วกิเลสก็ทำให้จิตเกิดความทุกข์ (ความเศร้าโศก) ดังนั้นถ้าเราสามารถทำให้อวิชชาดับหายไปได้ ก็จะทำให้สักกายทิฏฐิและกิเลส รวมทั้งความทุกข์ก็จะดับหายตามไปด้วยทันที (แม้เพียงชั่วคราว) และเมื่อจิตไม่มีความทุกข์ มันก็จะนิพพานหรือสงบเย็นทันที (แม้เพียงชั่วคราว) แต่การที่จะทำให้อวิชชาดับหายไปได้นั้นมันทำได้ยาก เพราะอวิชชาเป็นสัญชาตญาณพื้นฐานของจิต ที่ต้องใช้สมาธิขั้นสูงในการทำให้มันดับหายไป (แม้เพียงชั่วคราว) ดังนั้นจึงเหลือวิธีการเดียวที่ง่ายกว่าการไปดับที่อวิชชาก็คือ ให้มาจัดการที่ สักกายทิฏฐิ (คือความเห็นผิดว่าจิตเป็นอัตตา) แทน โดย สักกายทิฏฐิ นั้นมันจัดเป็น มิจฉาทิฏฐิ คือ ความเห็นผิดว่าจิตเป็นอัตตา ที่สามารถกำจัดได้ง่ายๆโดยการเพียงใช้ สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นที่ถูกต้องว่าจิตเป็นอนัตตา มากำจัดมัน (แต่เราก็ต้องศึกษาเรื่องขันธ์ ๕ เป็นอนัตตาจนเกิดความเข้าใจและเห็นแจ้งอย่างถูกต้องมาก่อน จึงจะเกิดสัมมาทิฏฐิขึ้นมาได้) คือเมื่อใดที่เรามีสติระลึกถึง สัมมาทิฏฐิ อย่างตั้งใจ (คือด้วยสมาธิ) ก็จะทำให้ มิจฉาทิฏฐิ ดับหายไปทันที (แม้เพียงชั่วคราว) แล้วก็จะทำให้กิเลส (คือความพอใจ-ไม่พอใจ) ดับหายตามไปด้วยทันที (แม้เพียงชั่วคราว) แล้วก็จะทำให้ความทุกข์ (ความเศร้าโศก) ดับหายตามไปด้วยทันที (แม้เพียงชั่วคราว) แต่ถ้าเราขาดสติ คือลืมระลึกถึงสัมมาทิฏฐิ (คือความเห็นว่าจิตเป็นอนัตตา) เมื่อใด ก็จะทำให้ มิจฉาทิฏฐิ (คือความเห็นว่าจิตเป็นอัตตา) กลับมาเกิดขึ้นกับจิตของเราได้อีก แล้วก็จะทำให้จิตของเราเกิดกิเลสและความทุกข์ขึ้นมาได้อีก เพราะ จิตใต้สำนึก ของเรามันยังมีความเคยชิน (หรือนิสัย) ของอวิชชาและมิจฉาทิฏฐิอยู่อย่างหนาแน่น (คือจิตใต้สำนึกก็คือ จิตส่วนลึกที่เราควบคุมไม่ได้ แต่มันกลับคอยควบคุม จิตเต็มสำนึก หรือ จิตปรกติ ของเราอยู่ตลอดเวลา) ดังนั้นถ้าเราปรารถนา (คือมีความอยากที่ดี) ที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างถาวร (คือตลอดชีวิต) เราก็ต้องมีความเพียรการปฏิบัติตามหลักอริยมรรค คือ มีสติระลึกถึง สัมมาทิฏฐิ (คือเรื่องความเป็นอนัตตา, อนิจจัง, ทุกขัง, และสุญญตา ของร่างกายและจิตใจของเรา รวมทั้งของทุกสิ่งที่เรากำลังสัมผัสอยู่) อยู่อย่างตั้งใจที่สุด (คือด้วยสมาธิ) อยู่เสมอๆในชีวิตประจำวันของเรา (แต่เราก็ต้องมีศีลเป็นพื้นฐานอยู่ด้วย) จนทำให้รากเหง้าของกิเลส (คือสังโยชน์ ๑๐) ที่มีอยู่ในจิตใต้สำนึกของเรา ถูกทำลายไปอย่างสิ้นเชิง (คือจะไม่กลับมาเกิดใหม่ได้อีกต่อไป) ก็จะทำให้จิตของเราหลุดพ้นจากความทุกข์ได้อย่างถาวร แล้วจิตของเราก็จะนิพพานอย่างสูงสุดและถาวร (คือตลอดชีวิต) พระอริยบุคคลคือใคร? คนในโลกนี้แยกได้ ๒ ประเภท คือ ปุถุชน กับ อริยชน โดยปุถุชนนั้นก็คือคนที่ยังมีกิเลสอยู่ในจิตใต้สำนึกอย่างหนานแน่น ซึ่งปุถุชนนี้ก็ยังมีทั้งปุถุชนดี (คือคนดีที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น) และ ปุถุชนเลว (คือคนชั่วที่ชอบเบียดเบียนผู้อื่น) ส่วนอริยบุคคลนั้นก็คือคนที่มีกิเลสน้อยหรือไม่มีเลยอยู่ในจิตใต้สำนึก ส่วนการที่ปุถุชนเลวจะเปลี่ยนมาเป็นปุถุชนดีได้นั้น ถ้าเป็นคนไม่ฉลาดก็อาจจะใช้วิธีการสอนให้มีความเชื่อในคำสอนของศาสนาว่า "ถ้าทำดีตายไปก็จะได้ขึ้นสวรรค์ แต่ถ้าทำความชั่วตายไปก็จะตกนรก" ก็ได้ เพื่อให้เขาเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่ถ้าเป็นคนฉลาดหน่อยก็อาจจะใช้วิธีการสอนด้วยเหตุด้วยผลตามหลักวิทยาศาสตร์ว่า "ถ้าทำความดี ก็จะทำให้จิตใจมีความสุข แต่ถ้าทำความชั่วก็จะทำให้จิตใจมีความทุกข์" ก็ได้ เพื่อให้เขาเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่การที่จะทำให้ ปุถุชนดีหรือคนดี เปลี่ยนมาเป็น อริยบุคคล หรือ พระอริยบุคคล ได้นั้น จะต้องสอนให้มีดวงตาเห็นธรรมเท่านั้น ส่วนคนชั่วจะสอนให้เป็นพระอริยบุคคลไม่ได้เพราะขาดศีลเป็นพื้นฐาน โดยพระอริยบุคคลในพุทธศาสนานั้นมีอยู่ ๔ ประเภท คือ พระโสดาบัน, พระสกิทาคามี, พระอนาคามี, และพระอรหันต์ ซึ่งพระอริยบุคคลแต่ละประเภทนั้นจะมีความแตกต่างกันตรงที่ สามารถตัดหรือทำลาย สังโยชน์ ที่หมายถึงเครื่องผูกจิตไว้ในความทุกข์ ที่มีอยู่ ๑๐ ประการ ได้มากน้อยต่างกัน โดยสังโยชน์ทั้ง ๑๐ นั้นก็ได้แก่ ๑. สักกายทิฏฐิ คือ ความเห็นผิดว่าร่างกายกับจิตใจของเรานี้เป็นอัตตา ๒. วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัยในพระพุทธเจ้าว่ามีอยู่จริงหรือไม่?, ในพระธรรมว่าดับทุกข์ได้จริงหรือไม?, และในพระสงฆ์ที่ปฏิบัติตามพระธรรมแล้วดับทุกข์ได้จริงนั้นมีอยู่หรือไม่? ๓. ลีลพพตปรามาส คือ การปฏิบัติที่ผิดจุดมุ่งหมาย (คือไม่ได้ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์) หรือหมายถึงการปฏิบัติที่งมงาย ๔. กามราคะ คือ ความติดใจในความสุขจากกามารมณ์ (สิ่งที่น่ารักน่าใคร่) ๕. ปฏิฆะ คือ ความขัดเคืองใจ (โทสะ) ๖. รูปราคะ คือ ความติดใจในความสุขจากวัตถุสิ่งของ ๗. อรุปราคะ คือ ความติดใจในความสุขจากชื่อเสียงเกียรติยศ ๘. มานะ คือ ความถือตัวว่า เสมอเขาบ้าง, ดีกว่าเขาบ้าง, ต่ำกว่าเขาบ้าง ๙. อุทธัจจะ คือ ความฟุ้งซ่านเล็กๆน้อยๆ ๑๐. อวิชชา คือ สัญชาตญาณแห่งตัวตน หรือ ความรู้สึกตัวว่ามีตนเอง ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับชีวิต โดย พระโสดาบัน หมายถึง ผู้เริ่มก้าวเท้าเข้าสู่นิพพาน หรือผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรมแล้ว ซึ่งพระโสดาบันจะละสังโยชน์หยาบๆ ๓ ตัวแรกที่เป็นเพียง "ความเห็นผิดเบื้องต้น" ได้แล้ว ซึ่งพระโสดาบันนี้จะยังเผลอสติจนเกิดกิเลสและความทุกข์ขึ้นมาได้อีกบ่อยๆในชีวิตประจำวัน แต่จะเกิดอยู่ไม่นานก็จะนิพพาน (คือสงบเย็น) ได้ ซึ่งพระโสดาบันนี้ท่านก็ยังสามารถครองเรือนได้ ส่วน พระสกิทาคามี หมายถึง ผู้ที่จะยังเกิดความทุกข์ขึ้นมาเพียงครั้งเดียวก็จะนิพพานทันที ซึ่งท่านก็ละสังโยชน์หยาบๆ ๓ ตัวแรกได้เท่าพระโสดาบัน เพียงแต่ท่านสามารถดับทุกข์ได้เร็วกว่าพระโสดาบันเท่านั้น ส่วน พระอนาคามี หมายถึง ผู้ไม่มีเรือน คือท่านสามารถละสังโยชน์ได้ ๕ ตัว ซึ่งท่านจะมีความทุกข์เบาบางลงมากแล้ว และท่านจะไม่ยินดีในความสุขจากกามารมณ์อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นท่านจึงมักจะเป็นนักบวช หรือไม่ก็เป็นคนที่ชอบอยู่เงียบๆคนเดียว ส่วน พระอรหันต์ หมายถึง ผู้บริสุทธิ์จากกิเลส คือท่านสามารถละสังโยชน์ได้หมดทั้ง ๑๐ ตัว และท่านก็จะไม่มีความทุกข์ใดๆและนิพพานอย่างสูงสุดและถาวร (คือตลอดชีวิต) สรุปได้ว่า พระอริยบุคคลก็คือคนที่มีกิเลสน้อยหรือไม่มีกิเลสเลยอยู่ในจิตใต้สำนึก รวมทั้งท่านก็จะมีความทุกข์น้อยหรือไม่มีเลยจนตลอดชีวิต ซึ่งสภาวะของความเป็นพระอริยบุคคลนี้ แม้ผู้ที่ไม่ได้บวชก็สามารถเป็นได้ โดยการศึกษาและปฏิบัติตามหลักอริยมรรคที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ จนเกิดดวงตาเห็นธรรม แล้วมีการปฏิบัติอย่างจริงจังต่อไป จนทำลายสังโยชน์ได้ตามลำดับ ซึ่งการเป็นพระอริยบุคคลทุกระดับนี้เป็นเรื่องของจิตใจเฉพาะตัว ไม่สามารถบอกให้คนอื่นเห็นแจ้งตามได้ ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงสอนว่า เรื่องความเป็นพระอริยบุคคลนี้เป็นเรื่องอจินไตย คือไม่ควรนำมาคิดหาเหตุผล หรือคิดเพื่อให้รู้รายละเอียดว่าเป็นอย่างไร เพราะเป็นเรื่องที่เราจะต้องปฏิบัติจนบรรลุถึงความเป็นอริยะด้วยตนเองเท่านั้น จึงจะเห็นแจ้งได้ด้วยตนเอง มนุษย์เกิดมาทำไม? ก่อนที่เราจะรู้ว่าเกิดมาทำไม? เราจะต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่า คำว่า ธรรม หรือ ธรรมะ นั้นตามหลักพุทธศาสนามีความหมาย ๔ อย่าง คือ ๑. หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่าง คือ ทุกสิ่งทุกอย่าง (คือทั้งวัตถุและจิตใจ) จะเรียกว่าธรรมได้ทั้งสิ้น โดยสิ่งทั้งหลายของธรรมชาตินี้ก็แยกได้ ๒ อย่าง คือ สิ่งปรุงแต่ง กับ สิ่งไม่ปรุงแต่ง โดยสิ่งปรุงแต่งก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น ซึ่งสรุปแล้วสิ่งปรุงแต่งนั้นก็ได้แก่ ทุกสิ่งทุกอย่าง ยกเว้นนิพพาน (คือความสงบเย็นของจิตใจขณะที่จิตใจไม่มีความทุกข์) ส่วน สิ่งที่ไม่ปรุงแต่งก็คือ สิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติโดยไม่อาศัยเหตุและปัจจัยใดๆมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นและมีอยู่ ซึ่งสิ่งที่ไม่ปรุงแต่งนี้ก็มีเพียง นิพพาน เท่านั้น นอกนั้นจะเป็นสิ่งปรุงแต่งทั้งสิ้น ๒. หมายถึง กฎของธรรมชาติ คือ ธรรมชาติจะมีกฎมาควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ คือกฎของธรรมชาตินี้เองที่สร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา และเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นมา มันจึงต้องตกอยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติทั้งสิ้น ๓. หมายถึง หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ คือเมื่อธรรมชาติสร้างสิ่งใดขึ้นมา สิ่งนั้นจะต้องมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามที่ธรรมชาติกำหนดไว้ ๔. หมายถึง ผลจากการปฏิบัติตามหน้าที่ คือเมื่อสิ่งใดได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ธรรมชาติกำหนดไว้อย่างถูกต้องและสมบูรณ์ สิ่งนั้นก็จะได้รับผลเป็นความไม่มีความทุกข์ รวมทั้งยังสามารถดำรงอยู่ในโลกต่อไปได้ แต่ถ้าสิ่งใดไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ธรรมชาติได้กำหนดไว้อย่างถูกต้องและสมบูรณ์ สิ่งนั้นก็จะได้รับผลเป็นความทุกข์ รวมทั้งถ้าสิ่งใดปฏิบัติผิดจากหน้าที่ของตนเองมากๆ สิ่งนั้นก็จะสูญหายไปจากโลก (ถ้าเป็นสิ่งที่มีชีวิตก็เรียกว่าสูญพันธุ์) ที่นี้เมื่อเรามาดูที่ชีวิตของเรา เราก็จะพบว่ามันประกอบด้วย ร่างกาย กับ จิตใจ ซึ่งร่างกายกับจิตใจนี้ก็คือธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาตามกฎของธรรมชาติ และเมื่อร่างกายและจิตใจได้เกิดขึ้นมาแล้ว มันก็ต้องมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามที่ธรรมชาติกำหนดไว้ โดยหน้าที่ของชีวิตเรานี้ก็สรุปอยู่ที่ การดูแลร่างกายอย่าให้มีความรู้สึกทรมาน (ความเจ็บ ความปวด ความไม่สบายกายฯ) และ การดูแลจิตใจอย่าให้มีความทุกข์ (ความเศร้าโศกหรือความเสียใจฯ) ซึ่งผลจากการปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้องสมบูรณ์ก็คือ ร่างกายไม่มีความรู้สึกทรมาน (หรือมีน้อยที่สุด) และ จิตใจไม่มีความทุกข์ (หรือมีความทุกข์น้อยที่สุด) แต่ถ้าเราปฏิบัติผิดจากหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้อง ก็จะเกิดผลเป็น ความรู้สึกทรมานกาย และ ความทุกข์ใจ ไปตามระดับของการปฏิบัติที่ผิด หน้าที่ของชีวิตคืออะไร? ที่นี้เราจะมาศึกษาว่าหน้าที่ของคนเรานั้นมีอะไรบ้าง? ซึ่งสรุปแล้วหน้าที่ของเรานั้นก็คือ การดูแลร่างกายอย่าให้เกิดความรู้สึกทรมาน ซึ่งก็ได้แก่ การแสวงหาปัจจัย ๔ มาบริหารร่างกาย, การป้องกันและรักษาร่างกายอย่าให้เจ็บ ป่วย, การป้องกันและรักษาร่างกายอย่าให้ประสบกับภัยจากคน สัตว์ ธรรมชาติ, รวมทั้งการทำหน้าที่ของเราต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรา ต่อสังคม ต่อประเทศชาติ ต่อศาสนา ต่อโลก และต่อธรรมชาติด้วย ส่วนการดูแลจิตใจก็คือ การระวังอย่าให้จิตใจเกิดความทุกข์ (ความเศร้าโศก) หรือให้มีความทุกข์น้อยที่สุด โดยสิ่งที่มีชีวิตของโลกก็สรุปอยู่ที่ พืช สัตว์ และคน ซึ่งหน้าที่พื้นฐานของทุกชีวิตก็คือ การเอาตัวรอด ซึ่งทั้ง สัตว์และพืช ก็สามารถปฏิบัติหน้าที่ของมันเองได้อยู่แล้วโดยอาศัย สัญชาตญาณ ที่ติดตัวมาเพียงเล็กน้อย (สัญชาตญาณก็คือความรู้ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับชีวิตโดยไม่มีใครสอน) ซึ่งสัญชาตญาณที่ติดตัวของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายก็คือ สัญชาตญาณว่ามีตนเอง หรือ ความรู้สึกตัวว่ามีตนเอง ซึ่งสัญชาตญาณว่ามีตนเองนี้เป็นสัญชาตญาณใหญ่ ที่ทำให้เกิดสัญชาตญาณย่อยๆตามมาอีก เช่น สัญชาตญาณในการหาอาหาร, กินอาหาร, สืบพันธ์, รักลูก, เลี้ยงลูก, รวมกลุ่ม, หนีภัย เป็นต้น ถ้าสิ่งที่มีชีวิตใดไม่มีสัญชาตญาณเหล่านี้ สิ่งที่มีชีวิตนั้นก็จะสูญพันธ์ไปจากโลกทันที ซึ่งผลจากการปฏิบัติหน้าที่ของสัตว์และพืชก็คือ ทำให้มันยังดำรงเผ่าพันธุ์ของมันไว้ได้ และมีความปรกติสุขไปตามอัตภาพของมัน รวมทั้งมันก็ไม่มีความทุกข์ใจอย่างรุนแรง แต่คนนั้นเป็นสิ่งที่มีชีวิตพิเศษ คือมีเนื้อสมองมากกว่าสัตว์เมื่อเทียบกับร่างกาย จึงทำให้คนนั้นมีความจำมาก เมื่อมีความจำมากจึงทำให้เกิดการคิดได้มาก คิดได้ละเอียด คิดได้ซับซ้อน ซึ่งการคิดได้มาก ละเอียด และซับซ้อนนี้เอง ที่ทำให้คนต่างจากสัตว์ คือทำให้คนนั้นมีการนำเอาสัญชาตญาณว่ามีตนเอง (ความรู้สึกตัวว่ามีตนเอง) ที่ติดตัวมาเล็กน้อยนั้นมาพัฒนาให้เกิดเป็น ความรู้สึกตัวว่ามีตนเองที่เข้มข้น ขึ้นมา ซึ่งความรู้สึกตัวว่ามีตนเองที่เข้มข้นนี้เองที่ทำให้คนนั้นเกิด ความเห็นแก่ตัว (คือการทำอะไรๆไปก็เพื่อตัวเองเป็นหลัก) เมื่อมีความเห็นแก่ตัวจึงทำให้จิตของคนนั้นเกิด กิเลส (คือความอยากได้-ไม่อยากได้-ลังเลใจ) เพื่อตนเองขึ้นมา ซึ่งกิเลสนี้เองที่ทำให้จิตของคนนั้นเกิด อุปาทาน หรือ ความยึดถือว่ามีตนเอง ไปตามสภาพของร่างกายและสิ่งแวดล้อม และเมื่อสภาพของร่างกายและสิ่งแวดล้อมของคนนั้นก็เป็น สิ่งปรุงแต่ง ที่มีภาวะของภาวะของทุกขัง (คือสิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ อันได้แก่ ความแก่, ความเจ็บ, ความตาย, ความพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งอันเป็นที่รัก, ความประสบกับบุคคลหรือสิ่งอันไม่เป็นที่รัก, ความผิดหวัง) จึงทำให้จิตของคนนั้นเกิดความทุกข์ใจ (ความเศร้าโศก) เพราะไม่อยากเป็นผู้ที่ต้องประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจนั้น ซึ่งนี่ก็คือผลจากการปฏิบัติผิดจากหน้าที่ของชีวิต คือธรรมชาติกำหนดมาให้เราเพียงแค่เอาตัวรอด แต่เรากลับโง่แล้วยึดถือเอาสิ่งที่ยึดถือไม่ได้ (เพราะมันเป็นอนัตตาและอนิจจัง) ว่าเป็น ตัวเรา-ของเรา จึงทำให้ได้รับผลเป็นความทุกข์ใจ แต่ถ้าเรามีปัญญาที่เข้าใจและรู้แจ้งชีวิตว่า มันไม่ได้มีตัวเราอยู่จริง รวมทั้งเราก็มีสมาธิอยู่ด้วย แล้วเราก็คอยระวังจิตอย่าให้ทำผิดจากหน้าที่ คือ คอยระวังอย่าให้จิตปรุงแต่งให้เกิด ความรู้สึกตัวว่ามีตนเองที่เข้มข้น ขึ้นมา แล้วจิตก็จะไม่ปรุงแต่งให้เกิดกิเลสและความยึดถือว่ามี ตัวเรา-ของเรา ขึ้นมา ซึ่งเมื่อจิตไม่มีกิเลส (แม้เพียงชั่วคราว) มันก็จะไม่มีความทุกข์ (แม้เพียงชั่วคราว) เมื่อจิตไม่มีความทุกข์ มันก็จะกลับคืนมาเป็นจิตที่บริสุทธิ์ที่มีความสงบเย็นอยู่ด้วยตามธรรมชาติ ซึ่งนี่ก็คือผลที่ได้จากการปฏิบัติหน้าที่ของเราอย่างถูกต้องตามที่ธรรมชาติกำหนดมา ซึ่งคำสอนที่เป็นหัวใจของคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้าก็คือคำสอนที่เรียกว่า อริยสัจ ๔ ที่เป็นคำสอนเรื่องการปฏิบัติเพื่อไม่ให้จิตใจของเราเกิดความทุกข์ คำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้าสรุปได้ว่าอย่างไร? เคยมีผู้ไปทูลถามพระเจ้าว่า คำสอนทั้งหมดของพระพุทธองค์นั้น สรุปให้สั้นที่สุดได้ว่าอย่างไร? ซึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า คำสอนทั้งหมดของพระพุทธองค์นั้น สรุปอยู่ในประโยคที่ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดถือว่าเป็นตัวตน-ของตน ซึ่งคำว่า สิ่งทั้งปวง นี้ก็หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เว้นสิ่งใดเลย คือไม่ว่าจะเป็นร่างกายและจิตใจที่สมมติเรียกว่าเป็นตัวเรา-ของเรานี้ รวมทั้งบุคคลหรือสิ่งของทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราด้วย ส่วนคำว่า ยึดถือ ก็มาจากคำว่า อุปาทาน ที่หมายถึง ความผูกพัน ซึ่งเป็นอาการ ที่จิตของเราไปรักหรือพอใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเหนี่ยวแน่นจนถอนตัวไม่ขึ้น ซึ่งความรักหรือความพอใจนี้ก็คือ อาการของกิเลส ที่ทำให้จิตของเราเกิดความทุกข์ โดยสาเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้ไปยึดถือเอาสิ่งใดๆว่าเป็น ตัวเรา-ของเรา ก็เพราะว่า สิ่งทั้งหลายนั้นมันเป็น สิ่งปรุงแต่ง คือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุและปัจจัยนั้นมันเป็น อนัตตา คือไม่ใช่อัตตาหรือตัวตนที่แท้จริง อีกทั้งมันยังเป็น อนิจจัง คือมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สุดท้ายไม่ช้าก็เร็วสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายนั้นก็ต้องดับหายไปอย่างแน่นอน และเมื่อเราไปรักหรือผูกพันกับสิ่งนั้นเข้า เมื่อสิ่งนั้นมันเปลี่ยนแปลงไปเป็น สิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ (เช่น แก่ เจ็บ ไม่งดงาม ไม่น่ารักฯ) หรือสิ่งนั้นได้พลัดพรากจากเราไป ก็ย่อมทำให้เกิดความเศร้าโศก (ความเสียใจ) หรือความทุกข์ใจขึ้นมา สรุปได้ว่าคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้าไว้ในประโยคเดียว ดังนั้นถ้าใครได้รู้คำสอนเพียงเท่านี้ ก็เท่ากับได้รู้จักคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้า ถ้าใครปฏิบัติได้เพียงเท่านี้ ก็เท่ากับได้ปฏิบัติตามคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้า และถ้าใครได้รับผลเพียงเท่านี้ ก็เท่ากับได้รับสิ่งสูงสุดตามที่พระพุทธเจ้าสอนแล้ว พระพุทธเจ้าสอนเรื่องกรรมไว้ว่าอย่างไร? คำว่า กรรม แปลว่า การกระทำด้วยเจตนา (หรือความจงใจ) ซึ่งเจตนาก็คือ "กิเลส" และมีผลเรียกว่า วิบาก (ถ้าการกระทำใดไม่มีเจตนา จะไม่เรียกว่าเป็นกรรม แต่จะเรียกว่า "กิริยา" ซึ่งผลของกิริยาเรียกว่า "ปฏิกิริยา" อย่างเช่น เมื่อเราเดินไปเหยียบมดตายโดยไม่เจตนา ก็เรียกว่าเป็นกิริยา และมีปฏิกิริยาคือ มดตาย เท่านั้น) โดยกิเลสนี้ก็มีทั้ง "กิเลสฝ่ายชั่ว" (คือการมีเจตนาที่จะเบียดเบียนผู้อื่น) และ "กิเลสฝ่ายดี" (คือการมีเจตนาที่จะช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน) จึงทำให้เกิดกรรมขึ้นมา ๒ อย่าง คือ กรรมชั่ว กับ กรรมดี อีกทั้งกรรมหรือเจตนาของจิตนี้ จะเริ่มต้นเกิดขึ้นที่จิตก่อน แต่เมื่อจิตสั่งให้ร่างกายทำ หรือสั่งให้ปากพูด จึงทำให้เกิด "กรรมชั่ว" และ "กรรมดี" ขึ้นมาได้ ๓ ทาง อันได้แก่ กรรมชั่วทางกาย ก็ได้แก่ การการเบียดเบียนชีวิต ทรัพย์สิน และกามารมณ์ (สิ่งของที่น่ารักน่าใคร่) ของผู้อื่น, การลุ่มหลงอบายมุข-สิ่งเสพติด-สิ่งฟุ่มเฟือย กรรมชั่วทางวาจา ก็ได้แก่ การพูดโกหก, การพูดคำหยาบ, การพูดคำส่อเสียดยุยงให้แตกกัน และการพูดเพ้อเจ้อ กรรมชั่วทางใจ ก็ได้แก่ การคิดเพ่งเล็งอยากได้สิ่งของๆผู้อื่นมาเป็นของเรา, การคิดอาฆาตพยาบาทหรือการคิดจะทำร้ายผู้อื่น, และการมีความเห็นผิดจากความเป็นจริง (คือเห็นว่าทำดีได้ชั่ว แต่พอทำชั่วกลับได้ดี) ส่วนกรรมดีทางกายก็ได้แก่ การช่วยเหลือผู้อื่นให้หลุดพ้นจากความทุกข์-ความเดือดร้อน, การทำหน้าที่ของเราอย่างถูกต้องสมบูรณ์, การใช้ชีวิตที่เรียบง่าย, การละเว้นอบายมุข-สิ่งเสพติด-สิ่งฟุ่มเฟือย ส่วนกรรมดีทางวาจาก็ได้แก่ การพูดแต่คำจริง (คือไม่พูดโกหก), พูดคำที่ไพเราะน่าฟัง, พูดคำที่ทำให้เกิดความสามัคคี, พูดคำที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ส่วนกรรมดีทางใจก็ได้แก่ การคิดช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน, การคิดให้อภัย, การมีความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง (คือเห็นว่าทำดี-ดี, ทำชั่ว-ชั่ว) โดยผลของกรรมเรียกว่า วิบาก ซึ่งวิบากนี้ก็เป็นไปตามเจตนา คือ เมื่อทำกรรมชั่ว ก็จะเกิดวิบากชั่วหรือผลชั่วหรือไม่ดีแก่จิตใจ อันได้แก่ ความร้อนใจ หรือความทุกข์ใจ ความแห้งเหี่ยวใจ ความคับแค้นใจ หรือความไม่สบายใจทุกระดับ ส่วนการทำกรรมดี ก็จะเกิดวิบากดีหรือผลดีแก่จิตใจ คือความสุขใจ อิ่มใจ ความภาคภูมิใจฯ ส่วนช่วงเวลาที่วิบากหรือผลของกรรมจะเกิดขึ้นนั้น ก็มีอยู่ ๓ ช่วง อันได้แก่ ๑. ทันที คือ เกิดขึ้นขณะที่เรากำลังทำกรรมใดๆอยู่ ๒. ต่อมา คือ เกิดขึ้นเมื่อเราได้ทำกรรมใดๆเสร็จแล้ว ๓. ต่อมาอีก คือเมื่อเราได้ระลึกถึงกรรมที่เราได้เคยทำไว้ในอดีต ซึ่งผลของกรรมนั้นก็ยังจะเกิดขึ้นได้อีกเหมือนกันแต่อาจจะอ่อนแรงลงแล้ว คำสอนเรื่องกรรมของพุทธศาสนานี้เป็นคำสอนระดับศีลธรรม ที่มีจุดประสงค์จะทำให้คนกลัวการทำชั่วและอยากทำความดี แต่เราจะต้องทำความเข้าใจอีกว่า คำสอนเรื่องกรรมของพระพุทธเจ้านี้เป็น คำสอนเรื่องทางจิตใจ ไม่ใช่เรื่องทางกายหรือวัตถุ อย่างเช่นที่คนส่วนใหญ่กำลังเข้าใจผิดกันอยู่ คือคนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า การทำกรรมจะให้ผลทางวัตถุ เช่น เมื่อทำกรรมดี ก็จะมีคนมาชมเชยหรือยกย่องและให้รางวัล หรือทำให้ร่ำรวยหรือมีเกียรติ แต่ถ้ากรรมชั่วก็จะทำให้สังคมติเตียน หรือถูกกฎหมายลงโทษ หรือทำให้ชีวิตพบกับภัยหรือความวิบัติล่มจม เป็นต้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของปัจจัยภายนอกที่มันเอาแน่ไม่ได้ คือถ้าทำดีแล้วไม่มีใครรู้ก็จะไม่มีใครมายกย่องหรือให้รางวัล หรือคนที่ทำชั่วแล้วปกปิดไว้ได้ ก็จะไม่มีใครติเตียนหรือลงโทษ เป็นต้น ซึ่งเราจะต้องเข้าใจจุดนี้เอาไว้ด้วย จะได้ไม่เกิดความเห็นผิดไปว่า "ทำดีแล้วไม่ได้ดี แต่พอทำชั่วแล้วได้ดี" ขึ้นมา อย่างเช่นที่คนทั่วไปเข้าใจผิดกันอยู่ การทำดีนั้นสมัยนี้เรานิยมเรียกว่าเป็น การทำบุญ และผลจากการทำความดีก็เรียกว่า ผลบุญ ส่วนการทำความชั่วเราก็นิยมเรียกว่า การทำบาป และผลชั่วก็เรียกว่า ผลบาป ซึ่งก็ไม่ถูกต้อง เพราะแท้จริงแล้วคำว่า บุญ แปลว่า ความสะอาดหรือบริสุทธิ์ของจิตใจ ซึ่งก็เป็นความหมายหนึ่งของคำว่า นิพพาน ส่วนคำว่า บาป แปลว่า ความสกปรกของจิตใจ ซึ่งก็หมายถึง กิเลสและความทุกข์ ซึ่งนี่ก็ทำให้เราเข้าใจได้ว่า แท้จริงแล้วการทำความดีก็ยังไม่ใช่บุญ เพราะยังเป็นการทำด้วยกิเลสฝ่ายดี ซึ่งกิเลสนั้นมันทำให้จิตเกิดความทุกข์ แม้จะเป็นความทุกข์ที่ไม่รุนแรงก็ตาม (คือเป็นความทุกข์ซ่อนเร้น) สรุปได้ว่า คำสอนเรื่องกรรมของพระพุทธเจ้านั้นเป็นคำสอนเรื่อง "จิตใต้สำนึก" (คือจิตส่วนลึกที่เราควบคุมมันไม่ได้) ที่สอนว่า เมื่อเราทำความชั่ว แม้จะไม่มีใครรู้ แต่จิตใต้สำนึกของเรามันก็รู้อยู่ว่าเป็นความชั่ว จึงทำให้จิตของเราเกิดความรู้สึกทุกข์ใจ ไม่สบายใจขึ้นมาทันที แต่พอเราทำความดี แม้จะไม่มีใครรู้ แต่จิตใต้สำนึกของเรามันก็รู่อยู่ว่าเป็นความดี จึงทำให้จิตของเราเกิดความสุขใจ อิ่มใจขึ้นมาทันที ความเห็นถูกกับความเห็นผิดต่างกันอย่างไร? ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่า ความเห็นถูก หมายถึง ความเข้าใจสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริงของธรรมชาติ ส่วน ความเห็นผิด หมายถึง ความเข้าใจสิ่งทั้งหลายผิดจากความเป็นจริงของธรรมชาติ เรื่องนี้อธิบายได้ว่า เมื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมา แล้วเราก็มีการคิดพิจารณาหาเหตุและปัจจัยที่มาปรุงแต่งให้เกิดสิ่งนั้นขึ้นมา จนพบเหตุและปัจจัยที่มาปรุงแต่งให้เกิดสิ่งนั้นขึ้นมา อย่างนี้จะเรียกว่าเป็น ความเข้าใจ แต่ความเข้าใจนี้ก็ยังอาจจะเป็น ความเข้าใจถูก ก็ได้ หรืออาจจะเป็น ความเข้าใจผิด ก็ได้ โดยวิธีการที่จะตรวจสอบว่า ความเข้าใจของเรานั้นมันเป็น ความเข้าใจถูก หรือ ความเข้าใจผิด ก็คือ ต้องมีการพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์ คือ ให้ทดลองสร้างเหตุและปัจจัยที่มาปรุงแต่งให้เกิดสิ่งนั้นขึ้นมา ซึ่งถ้ามันไม่เกิดผลเป็นสิ่งนั้นขึ้นมาจริงตามความเข้าใจของเรา ก็แสดงว่าความเข้าใจของเรานั้นมันผิด แต่ถ้ามันเกิดผลเป็นสิ่งนั้นขึ้นมาจริงๆ ก็ยังต้องทดลองซ้ำๆ จนแน่ใจว่าไม่ผิดพลาด ก็แสดงว่าความเข้าใจของเรานั้นถูกต้อง โดยความเห็น (หรือความเข้าใจ) เรื่อง จิตเป็นอัตตา (คือเป็นตัวตนอมตะ) นั้น เป็นความเห็นที่ตรงข้ามกับความเห็นเรื่อง จิตเป็นนิรัตตา (คือคำว่า นิรัตตา หมายถึง ไม่มีตัวตนใดๆเลย) ซึ่งความเห็นทั้งสองนี้ พระพุทธเจ้าสอนว่าเป็น ความเห็นผิด ด้วยกันทั้งคู่ ส่วนความเห็นที่ถูกต้องนั้นพระพุทธเจ้าสอนว่าได้แก่ความเห็นว่า จิตเป็นอนัตตา โดยความเห็นว่า จิตเป็นอัตตา นั้น ก็คือ ความเข้าใจว่า จิตของเรานี้เป็นอัตตา (คือเป็นตัวตนอมตะที่มีตัวตนเป็นของมันเองโดยไม่ต้องอาศัยสิ่งอื่นใดมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น) ซึ่งเมื่อเราพิจารณาด้วยเหตุด้วยผลตามความเป็นจริง เราก็เข้าใจแล้วว่า ทุกสิ่งต้องมีเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น แต่ลักษณะของ อัตตา กลับบอกว่ามันมีตนเองโดยไม่อาศัยสิ่งอื่นใดมาปรุงแต่งให้เกิดมันขึ้นมา ซึ่งนี่ก็แสดงว่าคำสอนเรื่อง จิตเป็นอัตตา นั้นเป็นความเข้าใจผิด อีกทั้งจากความเป็นจริงที่เราก็รู้สึกได้จริงจากจิตของเราคือ จิตก็ต้องอาศัยร่างกายที่ยังไม่ตายมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น (คือเราไม่เคยมีจิตที่ไม่ต้องอาศัยร่างกายเลย) ซึ่งนี่แสดงถึงความจริงว่า ความเห็นว่า จิตเป็นอัตตา นั้นเป็นความเห็นผิด แต่ความเห็นว่าจิตเป็นอัตตานี้ก็ยังมีส่วนดีตรงที่ ทำให้คนที่เชื่อเขาจะไม่ทำความชั่ว (เพราะกลัวตกนรก) แต่จะทำความดี (เพราะอยากขึ้นสวรรค์) ซึ่งเมื่อใครทำแต่ความดี ไม่ทำความชั่ว ก็จะทำให้เขาเป็นคนดี ซึ่งคนดีก็ย่อมจะมีความปกติสุข (คือความสุขใจอยู่เสมอๆ) และการมีคนดีมากๆ ก็จะทำให้สังคมสงบสุขและช่วยให้โลกมีสันติภาพได้ ส่วนความเห็นว่า จิตเป็นนิรัตตา นั้นก็คือ ความเข้าใจว่า ไม่มีตัวตนใดๆเลย คือเป็นความเข้าใจว่า ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ฯ (คือไม่มีผู้มีพระคุณ) และไม่มีดี ไม่มีชั่ว (คือเป็นความเข้าใจว่าการกระทำใดๆจะไม่มีผลใดๆเลยแก่ตนเอง) ซึ่งคนที่มีความเข้าใจเช่นนี้มักจะเป็นคนที่ไม่ชอบทำความดี (เพราะเชื่อว่าไม่ได้รับผลดี) แต่จะชอบทำความชั่ว (เพราะเชื่อว่าไม่ได้ต้องรับผลชั่ว) ซึ่งเขาก็จะแสวงหาความสุขไปวันๆโดยไม่สนใจว่าจะทำให้ตัวเองเดือดร้อนหรือทำให้คนอื่นเดือดร้อน ซึ่งความเห็นนี้จัดว่าเป็นความเห็นผิด เพราะมันทำให้ชีวิตของตนเองเกิดความทุกข์ (ทางใจ) และความเดือดร้อน (ทางกาย) รวมทั้งยังทำให้สังคมเดือดร้อนอีกด้วย ส่วนความเห็นว่า จิตเป็นอนัตตา นั้น ก็คือความเข้าใจว่า จิตไม่ได้เป็นทั้งอัตตาและนิรัตตา คือเป็นความเข้าใจว่า จิตไม่ได้เป็นทั้งตัวตนอมตะ และ ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีตัวตนใดๆเลย ส่วนจิตที่มีอยู่นั้นมันเป็น สิ่งปรุงแต่ง คือ เมื่อเหตุและปัจจัยของมันมี มันจึงจะมี แต่ถ้าเหตุและปัจจัยของมันไม่มี มันก็จะไม่มี คือไม่ใช่ว่า ไม่มีตัวตนใดๆเลย อย่างพวกนิรัตตา และก็ไม่ได้ใช่ว่า มีตัวตนอมตะ อย่างพวกอัตตา ส่วนเรื่อง พ่อแม่หรือผู้มีพระคุณ เป็นต้นนั้น พระพุทธเจ้าสอนว่า มีอยู่จริง ดังนั้นเราจึงต้องตอบแทนพระคุณของท่านตามสมควร ส่วนเรื่องการทำความดี-ความชั่วนั้นก็มีผล คือเมื่อทำความดีก็จะทำให้เกิดความสุขใจอิ่มใจในชีวิตปัจจุบันนี่เอง แต่ถ้าทำความชั่วก็จะมีผลเป็นความร้อนใจไม่สบายใจในชีวิตปัจจุบันนี่เอง ซึ่งนี่ก็คือผลที่เกิดจากการกระทำของเรา แต่ผลนี้ก็มีเฉพาะในชีวิตปัจจุบันเท่านั้น ไม่ได้เป็นผลที่ต้องไปรับเอาในชาติหน้าอย่างพวกอัตตา และ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีผลใดๆเลยอย่างพวกนิรัตตา โดยความเห็นว่าจิตเป็นอนัตตานี้ จะทำให้คนที่มีความเห็นเช่นนี้เป็นคนดีของสังคมอย่างมั่นคง (คือจะทำแต่ความดีโดยไม่ทำความชั่วตลอดชีวิต) ซึ่งก็จะส่งผลทำให้เขามีชีวิตที่ปกติสุข และถ้าสังคมใดมีคนดีมากๆ สังคมนั้นก็จะสงบสุข รวมทั้งถ้าโลกมีคนดีมากๆ ก็จะทำให้โลกมีสันติภาพได้ แต่ที่สำคัญก็คือความเห็นว่า จิตเป็นอนัตตา นี้ ยังเป็นหัวใจของปัญญา สำหรับนำมาปฏิบัติร่วมกับสมาธิ (โดยมีศีลเป็นพื้นฐาน) เพื่อดับทุกข์ ตามหลักอริยมรรคของอริยสัจ ๔ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้อีกด้วย สรุปได้ว่า เราต้องแยกให้ออกว่า ความเห็นว่าจิตเป็นอัตตา กับ ความเห็นว่าจิตเป็นนิรัตตา และ ความเห็นว่าจิตเป็นอนัตตา นั้นมันแตกต่างกันอย่างไร เราจึงจะเข้าใจได้ว่า ความเห็นถูก กับ ความเห็นผิด มันเป็นอย่างไร คือถ้าเรายังแยกไม่ออกว่าความเห็นทั้ง ๓ นี้เป็นอย่างไร เราก็อาจจะเกิดความเข้าใจผิดว่า เมื่อจิตไม่ได้เป็นอัตตามันก็ต้องเป็นนิรัตตา ได้โดยง่าย คำว่า นรก สวรรค์ เทวดา นางฟ้า ในพุทธศาสนาหมายถึงอะไร? ปัญหาที่คนส่วนใหญ่พบเมื่อศึกษาตำราพระไตรปิฎกของพุทธศาสนาก็คือ "อ่านแล้วไม่เข้าใจ" ซึ่งที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะภาษาที่ใช้บันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้าก็เป็นภาษาที่เราไม่คุ้นเคย รวมทั้งยังมีคำสอนที่เหมือนกับคำสอนของศาสนาพราหมณ์อีกด้วย เช่นคำว่า นรก สวรรค์ เทวดา นางฟ้า และการเวียนว่ายตายเกิด เป็นต้น ซึ่งคำเหล่านี้แม้จะเป็นคำพูดที่เหมือนกับคำสอนของศาสนาพราหมณ์ แต่ว่าความหมายจะไม่เหมือนกัน คือความหมายของศาสนาพราหมณ์นั้นเขาจะหมายถึง สิ่งภายนอกจิตใจ (คือเป็นตัวตนบุคคลหรือสถานที่) แต่ความหมายของพุทธศาสนาจะหมายถึง สภาวะจิตของเราในปัจจุบัน อย่างเช่นคำต่อไปนี้ โลก หมายถึง ความทุกข์ หรือสิ่งที่เรายึดถือกันอยู่ ชาติ หมายถึง การเกิดความยึดถือว่ามีตัวเราขึ้นมาในจิต ตาย หมายถึง การที่ความยึดถือว่ามีตัวเราในขณะหนึ่งได้ดับหายไป คน หมายถึง จิตที่กำลังเสวยสุขโดยต้องเอาความเหนื่อยยากลำบากกายเข้าแลก มนุษย์ หมายถึง ผู้มีใจสูง หรือผู้มีคุณธรรม (คนยังไม่ใช่มนุษย์) สวรรค์ หมายถึง สภาวะจิตที่มีแต่ความสุขใจอิ่มใจ นรก หมายถึง ความทุกข์ใจหรือร้อนใจอย่างมากเหมือนถูกไฟเผา เทวดา หมายถึง จิตที่กำลังเสวยสุขจากกามคุณโดยไม่ต้องเหนื่อยยากลำบากกาย นางฟ้า หมายถึง ความสุขจากกามคุณชนิดต่างๆ (คือทางตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย) พรหม หมายถึง จิตที่เบื่อกามคุณ และอยู่อย่างสุขสงบด้วยสมาธิ รูปพรหม หมายถึง จิตที่ติดอยู่ในความสุขสงบจากสิ่งที่เป็นรูปหรือวัตถุ อรูปพรหม หมายถึง จิตที่ติดอยู่ในความสุขสงบจากสิ่งที่ไม่มีรูป อบายภูมิ หมายถึง จิตที่ไม่มีความเจริญ คือมีความสุขน้อยแต่มีความทุกข์มากกว่า เดรัจฉาน หมายถึง จิตที่มีความโง่อย่างไม่น่าโง่ เปรต หมายถึง จิตที่หิวหรือมีความอยากได้ด้วยกิเลสมาก อสุรกาย หมายถึง จิตที่ขลาดกลัว ไม่กล้าหาญ ยักษ์ หมายถึง จิตที่มีความโกรธ ความมุ่งร้าย สัตว์ หมายถึง จิตที่ยังติดใจอยู่ในโลก (ในกามคุณ ๕) สัตว์นรก หมายถึง จิตที่กำลังเร่าร้อนทรมาน (ร้อนใจ ทุกข์ใจมาก) ยมบาล หมายถึง กฎอันเฉียบขาดของธรรมชาติ มาร หมายถึง สิ่งที่ทำลายล้างความดีความถูกต้องให้หายไปจากจิต วัฏฏะสงสาร หมายถึง จิตที่วนเวียนอยู่ใน กิเลส-กรรม-วิบาก นิพพาน หมายถึง จิตที่สงบเย็น หรือความเย็นใจ สรุปได้ว่า การสอนของพระพุทธเจ้านั้น แม้ว่าพระองค์จะใช้ภาษาที่เหมือนกับคำสอนของศาสนาพราหมณ์ แต่ว่ามีความหมายต่างกัน คือคำสอนของศาสนาพราหมณ์จะเป็น "ภาษาคน" ที่สอนเรื่องการมีตัวตนบุคคล (อัตตา) คือจะมีความหมายตื้นๆที่ชาวบ้านฟังแล้วก็เข้าใจได้ง่ายๆโดยไม่ต้องแปลความหมายอีก แต่คำสอนของพระพุทธเจ้าจะเป็น "ภาษาธรรม" คือต้องแปลความหมายจากภาษาคน ให้เป็น "ธรรมะระดับสูง" ซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้งในจิตใจของเราเองในชีวิตปัจจุบัน เราจึงจะอ่านตำราพระไตรปิฎกของพุทธศาสนาแล้วเข้าใจ เพราะคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้านั้นเป็นวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตใจ ที่ต้องน้อมเข้ามาดูภายในจิตใจของเราเท่านั้น แก่นของพุทธศาสนาคืออะไร? พุทธศาสนาก็เปรียบเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่มีองค์ประกอบหลายอย่าง อันได้แก่ ความสมบูรณ์ด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญ จัดเป็นเพียงกิ่งและใบของศาสนา ความสมบูรณ์ด้วยศีล จัดเป็นเพียงสะเก็ดของศาสนา ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ จัดเป็นเพียงเปลือกของศาสนา ความสมบูรณ์ด้วยสัมมาทิฎฐิ (ความเห็นที่ถูกต้อง) จัดเป็นกะพี้ของศาสนา ความหลุดพ้นจากความทุกข์โดยสิ้นเชิง (ถาวร) จัดเป็นแก่นของศาสนา สรุปได้ว่าเราต้องมาดูว่าเราเข้าถึงส่วนใดของพุทธศาสนา คือถ้าเรายังติดอยู่ที่ความเจริญทางวัตถุหรือการที่มีคนเคารพนับถือมากๆ ก็ยังเป็นแค่เพียงส่วนเกินของพุทธศาสนา ถ้าเรายังติดอยู่ที่การเป็นคนดีมีศีลธรรม ก็ยังเป็นแค่ผิวนอกของพุทธศาสนา ถ้ายังติดอยู่แค่การมีสมาธิ ก็ยังเป็นแค่เปลือกของพุทธศาสนา ถ้ายังติดอยู่ที่การมีความเห็นที่ถูกต้อง ก็จัดว่าเข้าใกล้แก่นแท้ของพุทธศาสนาแล้ว จะต้องมีความหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างถาวร จึงจะจัดว่าเป็นแก่นแท้ของพุทธศาสนา คำสอนของพระพุทธเจ้าจะช่วยโลกให้มีสันติภาพได้อย่างไร? ศาสนาทุกศาสนาของโลก ล้วนมีจุดมุ่งหมายที่เหมือนกันคือ การช่วยให้โลกมีสันติภาพหรือความสงบสุขที่มั่นคง แต่จะต่างกันที่วิธีการสอนเท่านั้น โดยศาสนาส่วนใหญ่จะใช้วิธีการสอนให้ผู้คนมีความเชื่อเหมือนกัน จะได้ทำให้ผู้นับถือมีความสามัคคีกันในการทำโลกให้มีสันติภาพ ซึ่งในยุคปัจจุบันการสอนให้มีความเชื่อเริ่มไม่ได้ผล เพราะผู้คนมีอิสระในการคิดด้วยเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์มากขึ้น จึงทำให้มีคนที่ไม่มีศาสนามากขึ้นในโลก ในส่วนของพุทธศาสนานั้นจะมีวิธีการสอนทั้งแบบ "การสอนให้เชื่อเหมือนกับศาสนาอื่น" คือจะสอนให้เชื่อว่า "เมื่อทำความดี ไม่ทำความชั่ว ย่อมได้รับผลดีเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าโลกหน้าจะมีหรือไม่ก็ตาม" ซึ่งนี่คือหลักของศีลธรรมในพุทธศาสนา แต่จุดเด่นของพุทธศาสนาก็คือ "การสอนให้เกิดความเข้าใจและเห็นแจ้งโลกตามความเป็นจริง" ซึ่งวิธีการนี้เหมาะสำหรับคนที่มีอิสระในการคิดด้วยเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งวิธีการนี้จัดเป็นคำสอนระดับสูงของพุทธศาสนา โดยคำสอนระดับสูงของพุทธศาสนานั้นจะสอนให้เราแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือการที่โลกเกิดวิกฤติการณ์ต่างๆขึ้นมาทั่วโลกนั้นเกิดมาจากจิตใจของคนที่โง่เขลาทั้งสิ้น ซึ่งความโง่เขลานี้ก็คือ "ความไม่รู้แจ้งชีวิตและโลกตามความเป็นจริง" ว่า ชีวิตคืออะไร? เกิดมาทำไม? และอะไรคือสิ่งสูงสุดที่คู่ควรกับชีวิต? เรื่องนี้อธิบายได้ว่า คนเราทุกคนนั้นเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็จะมีสัญชาตญาณว่ามีตนเอง (หรือความรู้สึกตัวว่ามีตนเอง) ติดมาด้วยทุกคน รวมทั้งมีความโง่เขลาหรือความไม่รู้แจ้งชีวิตจามความเป็นจริงติดมาด้วย จึงทำให้คนเรานั้นดำเนินชีวิตหรือใช้ชีวิตไปตามสัญชาตญาณและความโง่เขลา โดยสัญชาตญาณว่ามีตนเองนี้ก็ทำให้คนเรานั้นเกิด "ความเห็นแก่ตัว" เป็นหลัก แล้วก็ทำอะไรๆก็เพื่อตนเองเป็นหลัก ซึ่งการทำอะไรๆเพื่อตนเองนี้ก็คือกิเลส (ความยินดี-ยินร้าย) นั่นเอง โดยคนที่เห็นแก่ตัวน้อยแต่เห็นแก่คนอื่นมากกว่า ก็จะมีกิเลสฝ่ายดี ที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น แต่คนที่เห็นแก่ตัวมาก โดยไม่เห็นแก่คนอื่น ก็จะมีกิเลสฝ่ายชั่วที่ชอบเบียดเบียนผู้อื่น ซึ่งกิเลสฝ่ายชั่วนี่เองที่ทำให้โลกมีแต่วิกฤตการณ์ ส่วนวิธีการช่วยให้โลกมีสันติภาพตามหลักพุทธศาสนานั้นก็คือ การสอนให้คนมี "ปัญญา" ซึ่งปัญญานี้ก็คือ ความรู้แจ้งชีวิตและโลกตามความเป็นจริงว่า "มันไม่ได้มีตัวเราอยู่จริง" ซึ่งความรู้นี้ก็คือคำสอนเรื่อง สุญญตา (ความว่าง) นั่นเอง โดยพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า แม้ผู้ครองเรือนก็ควรรู้เรื่อง สุญญตา เพราะความรู้นี้จะทำให้คนที่เข้าใจและเห็นแจ้งนั้นลดความเห็นแก่ตัวลงได้ และทำให้กิเลสในจิตใจของเขาลดน้อยลงตาม แล้วเขาก็จะเป็นคนดีที่เห็นแก่ตัวน้อยลงและหันมาช่วยเหลือผู้อื่นมากขึ้น รวมทั้งคนดีนี้ยังจะมาช่วยกันเผยแพร่คำสอนอันประเสริฐนี้ให้แพร่หลายไปทั่วโลกอีกด้วย ซึ่งเมื่อโลกมีคนดีมากๆ ก็จะทำให้คนชั่วลดน้อยลงและหมดอำนาจที่จะปกครองโลกหรือมาทำให้โลกมีวิกฤตการณ์ และเมื่อวิกฤตการณ์ของโลกลดน้อยลงหรือหมดสิ้นไป สันติภาพหรือความสงบสุขของมนุษยชาติก็จะกลับคืนมาได้ หลังจากที่ได้เสียมันไป จบบริบูรณ์ (ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net) |