-๑-


คำนำ

พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สอนให้เกิด ความเข้าใจและเห็นแจ้งชีวิตและโลก ในเรื่องที่ควรรู้ ตามความเป็นจริง ซึ่งหลักการนี้เป็นหลักวิทยาศาสตร์ ที่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องความเชื่อเลย แต่ในอดีตพุทธศาสนาได้มีการนำเอาคำสอนของศาสนาพราหมณ์เข้ามาผสม จนกลายเป็นศาสนาที่มีเรื่องความเชื่อผสมอยู่อย่างมากมายอย่างเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

หนังสือ “ศึกษาพุทธศาสนาอย่างวิทยาศาสตร์” นี้ ได้คัดแยกเฉพาะคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธเจ้าที่เป็นวิทยาศาสตร์ มาอธิบายเอาไว้โดยใช้ภาษาง่ายๆที่เราคุ้นเคยกันอยู่แล้ว และยังได้อธิบายเหตุผลว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงสอนอย่างนี้เอาไว้อย่างละเอียดอีกด้วย จึงขอฝากให้ทุกคนช่วยกันศึกษาและช่วยกันเผยแพร่ต่อๆไป เพื่อให้ผู้คนในโลกได้รับประโยชน์จากคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้ากันต่อไป

พระออมสิน เตชปัญโญ

อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี

๑๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

ภาค ๑

จุดประสงค์ในการศึกษาพุทธศาสนาคืออะไร?

พุทธศาสนาก็จัดเป็น ศาสตร์ ที่หมายถึง ระบบความรู้ ที่เรียกว่า พุทธศาสตร์ ที่หมายถึง ระบบความรู้ของผู้ที่ตื่นหรือมีปัญญา ซึ่งการที่เราจะศึกษาหลักทฤษฎีหรือคำสอนของใครๆก็ตาม เราจะต้องรู้ก่อนว่า จุดประสงค์หรือจุดมุ่งหมายของทฤษฎีหรือคำสอนนั้นคืออะไร เพื่อที่เราจะได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ได้ถูกต้องว่าการศึกษาของเรานั่นจะมุ่งตรงไปที่จุดมุ่งหมายนี้เท่านั้น

โดยจุดประสงค์ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงนำคำสอนที่พระองค์ทรงค้นพบมาสอนแก่คนทั้งหลายนั้นก็คือ เพื่อช่วยให้เขามีปัญญา และเมื่อเขามีปัญญาแล้ว เขาก็จะได้นำปัญญานั้นไปดับทุกข์ แต่คนทั่วไปไม่ได้ศึกษาเพื่อให้เกิดปัญญาและนำปัญญามาใช้ดับทุกข์ แต่ศึกษาเพื่อเอาความรู้ไปปฏิบัติให้ชีวิตมีความสุขเท่านั้น

ส่วนคนที่มีความสนใจใคร่รู้ ก็จะศึกษาเพื่อที่ให้เกิด “ปัญญา” ที่เป็นความเข้าใจและเห็นแจ้งว่า ชีวิต (คือตัวเอง) เกิดมาจากไหน? เกิดมาทำไม? ตายแล้วไหน? อะไรคือสิ่งสูงสุดที่ชีวิตควรจะได้? และจะได้โดยวิธีอะไร? ส่วนคนที่มีความทุกข์ ก็จะศึกษาเพื่อเอาความรู้มาใช้ดับทุกข์ที่กำลังเกิดกับชีวิตของเขาอยู่

สรุปได้ว่า จุดประสงค์หรือจุดมุ่งหมายในการศึกษาพุทธศาสนาก็คือ เพื่อให้เกิดปัญญาและนำปัญญานั้นมาดับทุกข์ที่เกิดขึ้นกับชีวิต แต่คนส่วนมากจะไม่ได้มีจุประสงค์อย่างนี้ คือบางคนก็ศึกษาเพื่อเอาความรู้ไปปฏิบัติเพื่อให้ชีวิตมีความปรกติสุขเท่านั้น หรือบางคนก็ศึกษาเพื่อเอาความรู้ไปปฏิบัติเพื่อสะสมเป็นบารมีเอาไว้ไปดับทุกข์ในชาติหน้าเท่านั้น เป็นต้น ซึ่งนี่ก็เท่ากับว่าเป็นการศึกษาที่ผิดจุดประสงค์ที่พระพุทธเจ้าตั้งไว้ ดังนั้นเมื่อเราจะเริ่มศึกษาพุทธศาสนา สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เราต้องตั้งเป้าหมายหรือตั้งจุดประสงค์ในการศึกษาให้ถูกต้องก่อน ไม่อย่างนั้นก็จะทำให้การศึกษาพุทธศาสนาของเราผิดเพี้ยนไปทั้งหมดทันที

พระพุทธเจ้าคือใคร?

คำว่า พระพุทธเจ้า เป็นคำผสมระหว่างคำว่า พระ ที่แปลว่า ผู้ประเสริฐ กับคำว่า พุทธะ ที่แปลว่า ตื่นหรือมีปัญญา กับคำว่า เจ้า ที่หมายถึง ผู้ที่มีเชื้อสายกษัตริย์ โดยคำว่า พระพุทธเจ้า ก็แปลว่า ท่านผู้มีปัญญาที่มีเชื้อสายกษัตริย์

โดยความหมายที่สำคัญจะอยู่ที่คำว่า พุทธะ ที่แปลว่า ตื่น ที่หมายถึง ผู้ที่ตื่น หรือ ผู้ที่มีปัญญา ซึ่งนี่ก็แสดงให้เราเข้าใจได้ทันทีว่า จิตของใครก็ตามที่ตื่นหรือมีปัญญา จิตนั้นก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกันว่า ก็สามารถบรรลุหรือเข้าถึงความเป็นพุทธะได้ แต่ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าคำว่า ปัญญา ก่อน เพราะคำนี้เป็นคำสำคัญอันดับแรกที่เราควรรู้

โดยคำว่า ปัญญา หมายถึง ความรอบรู้ในสิ่งที่ควรรู้ ซึ่งคำว่า รอบรู้ หรือ รู้รอบ หมายถึง การรู้อย่างครบถ้วน (คือไม่ใช่รู้แค่เพียงบางส่วน) โดย สิ่งที่ควรรู้ นั้นก็ได้แก่ ความรู้เรื่อง ความไม่มีทุกข์ (ส่วนความรู้ใดที่นำมาใช้ดับทุกข์ไม่ได้ พุทธศาสนาจะจัดว่าความรู้นั้นไม่ใช่สิ่งที่ควรรู้) โดยขอบเขตของการรู้นั้นก็คือ รู้เท่าที่ควรรู้ (คือรู้เพียงแค่นำมาใช้ดับทุกข์ได้ก็พอ โดยไม่จำเป็นจะต้องรู้ไปหมดทุกเรื่องซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครรู้อะไรไปหมดทุกเรื่อง)

โดยผู้ที่มีปัญญา จะต้องเป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาดมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป ซึ่งความเฉลียวฉลาดก็คือ การที่ไม่มีความเชื่อที่งมงาย ไร้เหตุผล และพิสูจน์ให้เห็นจริงไม่ได้ ซึ่งนี่ก็แสดงว่าผู้ที่เฉลียวฉลาดจะต้องเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องอะไรที่มันดูว่างมงาย ไร้เหตุผล และยังพิสูจน์ไม่ได้

ส่วนคำว่า พุทธศาสนา ก็หมายถึง คำสอนของท่านผู้ตื่นหรือผู้มีปัญญา โดยท่านผู้มีปัญญาบุคคลแรกที่นำคำสอนของท่านมาสอนแก่บุคคลทั่วไปก็คือ พระพุทธเจ้า ที่อดีตเป็นเจ้าชายสิทธัตถะและพระองค์ก็ได้ทรงศึกษาค้นคว้าหาความจริงในเรื่องความพ้นทุกข์ด้วยพระองค์เอง จนทำให้พระองค์ทรงบรรลุเป็น พุทธะ ขึ้นมา แล้วเราก็มาเรียกพระองค์ว่าเป็น “พระพุทธเจ้า” ส่วนคำว่า พุทธบริษัท ก็หมายถึง ผู้ที่นั่งห้อมล้อมพระพุทธเจ้า อันได้แก่ ภิกษุ (คือนักบวชชาย), ภิกษุณี (คือนักบวชหญิง), อุบาสก (ผู้ชายที่นับถือพระพุทธเจ้า), อุบาสิกา (ผู้หญิงที่นับถือพระพุทธเจ้า)

สรุปได้ว่า พระพุทธเจ้าก็คือมนุษย์ธรรมดาๆเหมือนกับเราทุกคนนี่เอง แต่พระองค์ทรงต่างกับเราตรงที่พระองค์ทรงเป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาดอย่างที่สุดหรือมีปัญญามากกว่าเรา ซึ่งปัญญาที่พระองค์มีนั้นเป็นสิ่งที่มีคุณหรือมีประโยชน์สูงสุดสำหรับมนุษย์ทุกคน คือปัญญาจะทำให้เราตื่น หรือตาสว่าง หรือหายโง่ เพราะมองเห็นโลกตามความเป็นจริงแล้ว ที่สำคัญปัญญานี้ก็ยังช่วยให้เราหลุดพ้นจากสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดในชีวิต อันได้แก่ ความทุกข์ (ความเศร้าโศกฯ) ได้

พระพุทธเจ้าสอนอะไร?

ธรรมชาติของมนุษย์ธรรมดาทุกคนนั้น ก็อยากได้หรืออยากมี “ความสุข” แต่ไม่อยากได้หรือไม่อยากมี “ความทุกข์” โดยความสุขของมนุษย์นั้นก็แยกได้ ๒ อย่างคือ ความสุขกาย กับ ความสุขใจ

โดย ความสุขกาย นั้นก็ได้แก่ ความสุขที่เกิดจากการสัมผัสทาง ตา, หู, จมูก, ลิ้น, และกาย โดยสิ่งที่มาสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น และกาย แล้วทำให้เกิดความสุขกายนั้นนินมเรียกว่า วัตถุนิยม อันได้แก่ กามารมณ์ (คือสิ่งที่น่ารักน่าใคร่ โดยมีเรื่องเพศตรงข้ามเป็นกามารมณ์ชนิดสูงสุด) วัตถุสิ่งของ และ เกียรติยศชื่อเสียง โดยวัตถุนิยมนี้เป็นสิ่งที่มีโทษ คือมันทำให้เกิดการทำลายธรรมชาติจนระบบนิเวศน์เสียหาย แล้วก็ทำให้เกิดภัยพิบัติต่างๆขึ้นมามากมายแก่มวลมนุษย์ และยังสร้างมลพิษให้แก่สิ่งที่มีชีวิตของโลก รวมทั้งยังทำให้เกิดการเบียดเบียนผู้อื่นหรือการแย่งชิงวัตถุนิยมของผู้อื่นให้มาเป็นของตนเองอย่างรุนแรงอีกด้วย ซึ่งการที่โลกมีวิกฤตการณ์มากมายก็เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่ลุ่มหลงความสุขจากวัตถุนิยมนี้กันมากเกินไป และแม้โลกก็จะพินาศก็เพราะมนุษย์ลุ่มหลงความสุขจากวัตถุนิยมกันมากเกินไปนี่เอง

ส่วน ความสุขใจ นั้นก็คือความสุขที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสทาง ใจ โดยสิ่งที่มาสัมผัสแล้วทำให้เกิดความสุขใจนั้นก็ได้แก่ การช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน, การมีเจตนาที่จะไม่เบียดเบียนสิ่งที่มีชีวิตใดๆ, การให้อภัย, การทำหน้าที่ของตนเองต่อผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องสมบูรณ์, การละเว้นอบายมุข สิ่งเสพติด สิ่งฟุ่มเฟือย, การอ่อนน้อมถ่อมตน, การมีความรู้คุณและตอบแทนคุณของผู้มีพระคุณ, การใช้ชีวิตที่เรียบง่าย, การทำจิตให้มีสมาธิ, การทำความเห็นให้ถูกต้อง (ซึ่งความเห็นที่ถูกต้องนี้มี ๒ ระดับ คือความเห็นที่ถูกต้องตรงตามที่สังคมเขามีกันอยู่ กับ ความเห็นที่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงของธรรมชาติ) เป็นต้น ซึ่งความสุขใจนี้เป็นความสุขที่มีประโยชน์ คือทำให้คนที่ทำความดีนั้นมีชีวิตที่มีความปกติสุข และถ้าสังคมใดมีคนดีมากๆ สังคมนั้นก็จะมีความสงบสุข และถ้าโลกมีคนดีมากๆ โลกก็จะมีสันติภาพได้

เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าความสุขกายหรือความสุขจากวัตถุนิยมนั้นเป็นความสุขที่มีโทษ ส่วนความสุขใจหรือความสุขจาการทำความดีนั้นเป็นความสุขที่มีประโยชน์ ก็ทำให้เราเข้าใจได้ทันทีว่า พระพุทธเจ้าก็ต้องสอนให้เรา ลด-ละการแสวงหาความสุขกาย แล้วให้เรามาแสวงหาความสุขใจแทน ซึ่งคำสอนนี้ จัดว่าเป็นคำสอนระดับพื้นฐาน (หรือระดับศีลธรรม) ของพระพุทธเจ้า ที่มีผลเป็นเพียงทำให้ผู้ปฏิบัติตามมีความปรกติสุขท่านั้น ซึ่งยังไม่ใช่คำสอนระดับสูงของพระพุทธเจ้า  

คำสอนระดับสูงของพระพุทธเจ้าคืออะไร?

เมื่อเราพิจารณาจากความจริงของชีวิตเราก็จะพบว่า แม้เราจะมีความสุขจากการทำความดีอย่างครบถ้วนแล้วก็ตาม ชีวิตของเราก็ยังต้องประสบกับ “ความทุกข์” (คือความทุกข์ทางใจ) อันได้แก่ ความเศร้า (ความเสียใจ), ความโศก (ความคร่ำครวญ), ความคับแค้นใจ (ความเร่าร้อนใจ), ความแห้งเหี่ยวใจ (ความตรอมใจ), ความหนักใจ (ความเครียด), ความไม่สบายใจ (ความไม่ปรกติ ความไม่สงบเย็น)ที่เกิดจากการที่ชีวิตของเราต้องประสบกับ “สิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจของชีวิต” อันได้แก่ ความแก่, ความเจ็บ, ความตาย, ความพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งอันเป็นที่รัก, ความประสบกับบุคคลหรือสิ่งอันไม่เป็นที่รัก, และความผิดหวัง

เมื่อ พระพุทธเจ้าคือผู้ที่มีปัญญาที่รอบรู้ในสิ่งที่ควรรู้ โดยสิ่งที่ควรรู้ก็คือ ความรู้เรื่องความไม่มีทุกข์ ซึ่งก็แน่นอนว่าพระองค์ก็ต้องรู้อยู่แล้วว่า ความทุกข์คืออะไร, เหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์คืออะไร, ความทุกข์ไม่มีทุกข์เป็นอย่างไร, รวมทั้งพระองค์ก็ต้องรู้ว่า วิธีการที่จะทำให้ความทุกข์ดับหายไปหรือไม่มีนั้นเป็นอย่างไรด้วย ซึ่งนี่ก็ทำให้เราเข้าใจได้ทันทีว่า พระพุทธเจ้าสอนเรื่อง “การดับทุกข์” เพราะเรื่องความไม่มีทุกข์นี้เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับมนุษย์ทุกคน ซึ่งคำสอนเรื่องการดับทุกข์นี้จัดเป็น “คำสอนระดับสูง” ของพระพุทธเจ้า โดยคำสอนเรื่องการดับทุกข์ของพระพุทธเจ้านี้เรียกว่า อริยสัจ ๔

อริยสัจ ๔ คืออะไร?

อริยสัจ ๔ หมายถึง ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ อันได้แก่

ทุกข์ คือ ความทุกข์ ซึ่งหมายถึง ความทุกข์ใจ

สมุทัย คือ เหตุของความทุกข์ อันได้แก่ กิเลส (หรือตัณหา)

นิโรธ คือ ความไม่มีทุกข์ ซึ่งความไม่มีทุกข์นี้นิยมเรียกว่า นิพพาน

มรรค หรือ อริยมรรค คือ วิธีการดับทุกข์ ซึ่งสรุปอยู่ที่การใช้ ปัญญา กับ สมาธิ มาทำงานร่วมกัน โดยมี ศีล เป็นพื้นฐาน

โดย อริยสัจ ๔ นี้สรุปได้เป็น ทุกข์ กับ ไม่มีทุกข์ โดยความทุกข์เกิดจาก จิตที่มีกิเลสครอบงำอยู่ ส่วนความไม่มีทุกข์เกิดจาก จิตที่ว่างจากกิเลส ซึ่งวิธีการปฏิบัติเพื่อความไม่มีทุกข์สรุปอยู่ที่ เราต้องเป็นมีศีลอยู่เป็นพื้นฐานก่อน (คือมีเจตนาที่จะไม่เบียดเบียนใครๆด้วยกายและวาจา) แล้วให้เรามี “สติ” คือระลึกถึง “ปัญญา” (คือความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของร่างกายและจิตใจของเรา) อยู่ตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้า-ออก ซึ่งการทำอย่างนี้ก็จะทำให้จิตของราเกิดสมาธิขึ้นมาได้เองอย่างพอเหมาะพอสม แล้วสมาธิกับปัญญาก็จะมาทำให้กิเลสและความทุกข์ระงับหรือดับหายไปได้ทันที (แม้เพียงชั่งคราว)

ความทุกข์คืออะไร?

จุดสำคัญจุดแรกในการศึกษาอริยสัจก็คือ ต้องรู้จัก ความทุกข์ ให้ถูกต้องก่อน เมื่อรู้จักความทุกข์ถูกต้องแล้ว เราก็จะรู้จักเหตุของทุกข์ ความไม่มีทุกข์ และวิธีการดับทุกข์ได้ถูกต้องตามไปด้วย แต่ถ้าเรารู้จักความทุกข์ผิด เราก็จะรู้จักเหตุของทุกข์ ความไม่มีทุกข์ และวิธีการกับทุกข์ผิดไปด้วยทั้งหมด

โดย คำว่า ทุกข์ แปลว่า ทน ซึ่งหมายถึง ภาวะที่ต้องทนก็ได้ หรือหมายถึง ความรู้สึกที่ต้องทนก็ได้ โดยความทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเรานี้แยกได้ ๒ อย่าง คือ ความทุกข์ธรรมดา กับ ความทุกข์มายา

โดย ความทุกข์ธรรมดา หมายถึง ความทุกข์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ อันได้แก่ ความแก่, ความเจ็บ (หรือความปวดหรือความรู้สึกทรมานร่างกาย), ความตาย, ความพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งอันเป็นที่รัก, ความประสบกับบุคคลหรือสิ่งอันไม่เป็นที่รัก, และความผิดหวัง ซึ่งความทุกข์ธรรมดานี้จัดว่าเป็น ความทุกข์ที่บริสุทธิ์ ที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกชีวิตอยู่แล้ว ไม่มีใครจะหนีพ้นได้ ซึ่งความทุกข์ธรรมดานี้จัดว่าเป็น “สิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ” อยู่แล้วตามธรรมชาติ

โดยความทุกข์ธรรมดานี้เมื่อมันเกิดขึ้นกับชีวิตของเราแล้ว มันก็เพียงทำให้จิตของเราเกิดความทุกข์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างเช่น เมื่อร่างกายของเราเจ็บปวด หรือเมื่อคนที่เรารักได้จากเราไป จิตใจของเราก็ย่อมเกิดความรู้สึกทุกข์หรือทรมานเพียงเล็กน้อยขึ้นมาด้วยเสมอ เป็นต้น ซึ่งพวกสัตว์ทั้งหลายก็ล้วนมีความทุกข์กายนี้กันอยู่ด้วยทั้งนั้น โดยความทุกข์ธรรมดานี้เราทุกคนก็พอจะทนกับมันได้โดยไม่ยากอยู่แล้ว ดังนั้นความทุกข์ธรรมดานี้จึงยังไม่ใช่ปัญหาของจิตใจ

ส่วน ความทุกข์มายา หมายถึง ความทุกข์ที่ไม่ใช่ของจริง ที่จิตของเรามันสร้างขึ้นมาเองด้วยความโง่เขลา (คือด้วยความไม่รู้อริยสัจ ๔ อย่างถูกต้อง)

โดยความทุกข์มายานี้จะเกิดขึ้นเมื่อจิตของเราได้ประสบกับ ความทุกข์ธรรมดา (หรือสิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ เช่น ความแก่, ความเจ็บ, ความตาย, ความพลัดพราก เป็นต้น) แล้วเกิด “ความทุกข์เพียงเล็กน้อยตามธรรมชาติ” ขึ้นมา แล้วจิตของเราขณะนี้ไม่มี “สติ-ปัญญา-สมาธิ” จึงทำให้จิตของเราปรุงแต่งหรือสร้างกิเลสหรือตัณหาประเภท “ความไม่พึงพอใจ” ต่อ “ความทุกข์เพียงเล็กน้อยตามธรรมชาติ” นั้นขึ้นมาทันทีอย่างรุนแรง ซึ่งนี่ก็คืออาการที่เรียกว่า อุปาทาน ที่หมายถึง ความยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวเราที่เป็นผู้มีความทุกข์ธรรมดา และเมื่อเราไม่สามารถหนีพ้นจากความทุกข์ธรรมดานี้ไปได้ จึงทำให้จิตของเราเกิด “ความทุกข์หรือความรู้สึกทรมานอย่างรุนแรงมาก” จากกิเลสหรือตัณหา ซ้อนขึ้นมาอีกที ซึ่ง “ความทุกข์หรือความรู้สึกทรมานอย่างรุนแรงมาก” ที่เกิดซ้อนขึ้นมานี่เอง ที่เรียกว่า ความทุกข์มายา ที่เกิดขึ้นจากจิตของเรามันสร้างขึ้นมาเองด้วยความโง่เขลา

โดยความทุกข์มายานี้ก็คือ ความรู้สึกที่เรียกว่า ความเศร้าโศก (ความเสียใจ), ความคับแค้นใจ (เร่าร้อนใจ), ความแห้งเหี่ยวใจ (ความตรอมใจ), ความหนัก-เหนื่อยใจ (ความเครียด), ความไม่สบายใจ (ความไม่ปรกติ ความไม่สงบเย็น)ฯ อย่างเช่น เมื่อร่างกายของเราเจ็บปวด หรือเมื่อคนที่เรารักได้จากเราไป แล้วจิตขอเราเกิดความยึดถือว่ามีเราเจ็บปวด หรือยึดถือว่ามีเราเป็นผู้มีความพลัดพราก ก็จะทำให้จิตของเราเกิด ความรู้สึกทุกข์หรือความรู้สึกทรมานมาก ซ้อนขึ้นมาทันที เป็นต้น ซึ่งความทุกข์มายานี้มันมีความรุนแรงมาก และ เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวอย่างที่สุดของคนธรรมดาทุกคน ดังนั้นความทุกข์มายานี้ จึงจัดเป็นปัญหาใหญ่หลวงของจิตใจเรา

อีกอย่าง ความทุกข์มายา นี้ยังแยกได้อีก ๒ อย่าง คือ ความทุกข์ซ่อนเร้น กับ ความทุกข์เปิดเผย

โดยความทุกข์ซ่อนเร้นก็คือ ความรู้สึกหนัก-เหนื่อยใจ, ความเร่าร้อนใจ, ความกระวนกระวายใจ, ความไม่สบายใจ ,ความไม่ปรกติ ความไม่สงบเย็นของจิตใจฯ ที่เกิดขึ้นขณะที่จิตของเรากำลังเกิดกิเลสประเภท ความพอใจ ต่อ สิ่งที่ให้ความสุข (สุขเวทนา) ทั้งหลาย ซึ่งความทุกข์ซ่อนเร้นนี้ต้องสังเกตจึงจะพบ เพราะมันมีความสุขมาเคลือบความทุกข์เอาไว้ โดยความทุกข์ซ่อนเร้นนี้มันจะเกิดขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

ส่วน ความทุกข์เปิดเผย ก็คือ ความเศร้าโศก, ความคับแค้นใจ, ความแห้งเหี่ยวใจ, ความทรมานใจอย่างรุนแรงฯ ที่เกิดขึ้นขณะที่จิตของเรากำลังเกิดกิเลสประเภท ความไม่พึงพอใจ ต่อ สิ่งที่ให้ความทุกข์ (คือความทุกข์ธรรมดาหรือสิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ) ทั้งหลาย โดยความทุกข์เปิดเผยนี้มันเห็นได้ง่าย คือมันจะเกิดขึ้นมาพร้อมกับน้ำตาและเสียงร้องไห้

 สรุปได้ว่า เราต้องรู้จักความทุกข์ให้ถูกต้องก่อนว่ามันมี ๒ อย่าง คือ ความทุกข์ธรรมดา ที่เป็นความทุกข์ที่บริสุทธิ์ตามธรรมชาติที่ไม่มีใครจะหนีพ้นได้ แต่ว่ามันยังไม่รุนแรง ซึ่งเราทุกคนก็พอจะทนกับมันได้โดยไม่ยากอยู่แล้ว กับ ความทุกข์มายา ที่จิตโง่ของเรามันไปยึดถือเอาความทุกข์ธรรมดาว่าเป็น “ตัวเรา-ของเรา” เข้า จึงได้ทำให้จิตโง่ของเราเกิด ความรู้สึกที่ทรมานมาก หรือ ความทุกข์ที่รุนแรงมาก ซ้อนขึ้นมา ซึ่งความทุกข์มายานี้แม้มันจะรุนแรงมาก แต่ว่าเราสามารถแก้ไขหรือทำให้มันไม่เกิดขึ้นกับจิตใจของเราได้ ด้วยการใช้ “สติ-ปัญญา-สมาธิ” มาระวังอย่าให้จิตปรุงแต่งหรือสร้างกิเลสให้เกิดขึ้นมา และเมื่อจิตไม่มีกิเลส มันก็จะนิพพานคือสงบเย็นทันที (แม้เพียงชั่วคราว)

กิเลสคืออะไร?

คำว่า กิเลส แปลว่า สิ่งสกปรก คือหมายถึง สิ่งทำจิตให้สกปรก ซึ่งกิเลสนี้เมื่อพิจารณาในแง่ที่ว่าเป็นสิ่งทำให้จิตเกิดความทุกข์เราจะเรียกว่า  ตัณหา ที่แปลว่า ความอยาก คือหมายถึง ความอยากด้วยความโง่เขลา หรือ ความอยากเพื่อตัวเรา

โดยกิเลสหรือตัณหานี้ สรุปได้ ๓ อาการใหญ่ๆ อันได้แก่

๑. ราคะ (คือกำหนัดหรือติดใจ) หรือ โลภะ (คืออยากได้) ซึ่งเป็นอาการ ดึงเอาเข้ามาให้ตัวเรา ซึ่งก็ได้แก่อาการที่เรียกว่า ความพึงพอใจ หรือ ความอยากได้ หรือความยินดี หรือ ความรัก ความชอบ เป็นต้น นั่นเอง ซึ่งกิเลสประเภทนี้จัดว่าเป็นกิเลสประเภท บวก ที่ทำให้เกิดความทุกข์ซ่อนร้น

๒. โทสะ (อยากทำร้าย) หรือ โกธะ (แผดเผาตัวเอง) ซึ่งเป็นอาการ ผลักออกไปจากตัวเรา ซึ่งก็ได้แก่อาการที่เรียกว่า ความไม่พึงพอใจ หรือ ความไม่อยากได้ หรือ ความยินร้าย หรือ ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความเบื่อหน่าย เป็นต้น ซึ่งกิเลสประเภทนี้จัดเป็นกิเลสประเภท ลบ ที่ทำให้เกิดความทุกข์เปิดเผย

๓. โมหะ (มืด) ซึ่งเป็นอาการ หลงวนเวียนอยู่โดยไม่รู้ว่าจะเอาเข้ามาหรือผลักออกไป ซึ่งก็ได้แก่อาการที่เรียกว่า ความลังเลใจ หรือ ความงง เซ่อ หรือ ตัดสินใจไม่ถูก หรือ ความสับสน เป็นต้น ซึ่งกิเลสประเภทนี้จัดเป็นกิเลสประเภท กลางๆ ที่ทำให้เกิดความทุกข์อ่อนๆ (คือความรู้สึกรำคาญใจหรือความไม่สบายใจเพียงเล็กน้อย)

โดยมี อวิชชา (คือความรู้ผิดว่าร่างกายและจิตใจนี้คือตัวเรา) เป็นต้นเหตุทำให้เกิดกิเลสอีกที

โดยกิเลสนี้จะมี อวิชชา (คือความรู้ผิดว่าจิตนี้คือตัวเรา) ที่เป็นสัญชาตญาณพื้นฐานของจิต เป็นต้นเหตุมาปรุงแต่งหรือทำให้จิตเกิดกิเลสหรือตัณหาขึ้นมาอีกที ซึ่งตามปกติแล้วกิเลสนี้มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับจิตของเราอยู่ตลอดเวลา คือ ปกติแล้วจิตของเรานี้มันจะมีความบริสุทธิ์จากกิเลสอยู่แล้วตามธรรมชาติดั้งเดิมของมัน แต่เมื่อมีสิ่งภายนอก (คือสุขเวทนาและทุกขเวทนา) มากระตุ้นหรือยั่วยวน และเราก็ไม่มี สติ-ปัญญา-สมาธิ มาคอยระวังไม่ให้กิเลสเกิดขึ้น จิตของเราจึงได้ปรุงแต่งกิเลสให้เกิดขึ้นมาตามสัญชาตญาณพื้นฐานขอมัน

แต่เมื่อกิเลสได้เกิดขึ้นมาแล้วไม่ช้าก็เร็ว มันก็จะดับหายไปของมันได้เองตามธรรมชาติ (แม้เพียงชั่วคราว) หรือเมื่อเรามีสติ-ปัญญา-สมาธิ ก็จะทำให้กิเลสที่เกิดขึ้นมาแล้วดับหายไปได้ (แม้เพียงชั่วคราว) แต่เมื่อกิเลสได้ดับหายไปแล้ว มันจะทิ้ง อนุสัย คือ ความเคยชิน (หรือนิสัย) ของมันเอาไว้ให้กับ จิตใต้สำนึกของเราหน่วยหนึ่งเสมอ และเมื่อจิตของเราได้เคยเกิดกิเลสขึ้นมาบ่อยๆตลอดทั้งชีวิต จึงทำให้จิตของเรามีความเคยชินที่จะเกิดกิเลสขึ้นมาอีกอย่างมากมายสะสมไว้อยู่ในจิตใต้สำนึกของเรา (จิตใต้สำนำคือจิตส่วนลึกที่เราควบคุมมันไม่ได้ แต่มันกลับคอยควบคุมจิตเต็มสำนึกหรือจิตปรกติของเราอยู่ตลอดเวลา) และเมื่อมีสิ่งภายนอกมากระตุ้นหรือยั่วยวนอีกเมื่อใด ก็จะทำให้จิตของเราปรุงแต่งหรือทำให้เกิดกิเลสขึ้นมาทันทีอย่างรวดเร็วและรุนแรงจนเราแทบไม่รู้ตัว แต่ถึงจะรู้ตัวเราก็ไม่สามารถควบคุมหรือหยุดกิเลสได้

โดยอาการที่กิเลสไหลออกมาอย่างรวดเร็วและรุนแรงจนเราควบคุมไม่ได้นี้เรียกว่า อาสวะกิเลส ที่หมายถึง กิเลสที่เกิดขึ้นมาจากการหมักดองเอาไว้ แล้วกิเลสก็จะทำให้จิตเกิดความทุกข์ ซึ่งลักษณะที่เราไม่สามารถหลุดพ้นจากกิเลสและความทุกข์ไปได้นี้เองที่เรียกว่า สังโยชน์ ที่หมายถึง เครื่องผูกมัดจิตเอาไว้ในความทุกข์ ซึ่งสังโยชน์นี้มีอยู่ ๑๐ ชั้น ซึ่งการที่เราจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายไปได้อย่างถาวร (คือตลอดชีวิต) จะต้องตัดหรือทำลายสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ชั้นนี้ให้หมดสิ้นไปอย่างสิ้นเชิง (คือไม่กลับมาเกิดได้อีก) จึงจะทำให้จิตของเราไม่มีความทุกข์ได้อย่างถาวร

นิพพานคืออะไร?

คำว่า นิโรธ แปลว่า ความดับหายไปของความทุกข์ ซึ่งเมื่อจิตไม่มีความทุกข์ เรานิยมเรียกว่า นิพพาน ที่แปลว่า เย็น คือหมายถึง ความสงบเย็น โดยความทุกข์เกิดจากกิเลส แต่เมื่อจิตไม่มีกิเลส มันก็จะไม่มีความทุกข์ และเมื่อจิตไม่มีความทุกข์ มันก็จะกลับคืนมาเป็น จิตดั้งเดิม หรือ จิตเดิมแท้ ของมันตามธรรมชาติ ซึ่งจิตเดิมแท้นี้มันจะมี นิพานคือ ความสงบเย็น ของมันอยู่แล้วตามธรรมชาติ

โดยนิพพานนี้มีอยู่ ๒ อย่าง คือ นิพพานเบื้องต้น กับ นิพพานสูงสุด

โดย นิพพานเบื้องต้น ก็คือ ความอุ่นใจ ที่เกิดจากการที่เราเป็นคนดีและได้ทำหน้าที่ของเราเอาไว้อย่างถูกต้องเพียงพอ ซึ่งก็จะทำให้เรามี ความอุ่นใจ ได้ เพราะไม่มีความทุกข์เปิดเผยและความเดือดร้อนทางร่างกาย

ส่วน นิพพานสูงสุด ก็คือ ความเย็นใจ หรือ ความสงบเย็นของจิตใจ ที่เกิดจากการที่จิตของเราไม่มีกิเลสใดๆครอบงำ (คือรวมทั้งกิเลสอ่อนๆที่เรียกว่านิวรณ์ด้วย) ซึ่งการที่จิตจะนิพพานสูงสุดได้นั้น มันก็เกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติเป็นครั้งคราวเมื่อจิตมันเกิดความทุกข์มาจนอ่อนล้าแล้ว จิตมันก็จะนิพพานสูงสุดได้เอง แต่ถ้าเรามีสมาธิที่ถูกต้อง (สมาธิที่ถูกต้องจะต้องมีปัญญาคอยกำกับอยู่ด้วยเสมอ) ซึ่งสมาธิที่ถูกต้องนี้จะมีอำนาจทำให้กิเลสที่ยังไม่เกิดก็จะไม่เกิดขึ้น หรือกิเลสที่ได้เกิดขึ้นแล้วระงับหรือดับหายไปได้ (แม้เพียงชั่วคราว)

โดย นิพพานเบื้องต้น และ นิพพานสูงสุด นี้ ก็ยังเป็นได้ทั้ง นิพพานชั่วคราว และ นิพพานถาวร

โดยนิพพานชั่วคราวก็คือ นิพพานที่ปรากฏให้จิตของเราสัมผัสได้เป็นครั้งคราว เมื่อกิเลสที่ครอบงำจิตอยู่ได้ระงับหรือดับหายไปเป็นครั้งคราว

ส่วนนิพพานถาวรนั้นก็เกิดขึ้นได้จากการปฏิบัติตามหลัก ปัญญา ศีล สมาธิ ของมรรคอย่างจริงจังและต่อเนื่องนานๆ จนทำให้สังโยชน์ทั้ง ๑๐ ถูกทำลายหายไปจากจิตใต้สำนึกของเราอย่างสิ้นเชิง ก็จะทำให้กิเลสไม่กลับมาเกิดขึ้นกับจิตของเราอีกอย่างถาวร แล้วก็ทำให้จิตของเรานิพพานสูงสุดและถาวรได้

วิธีการดับทุกข์เป็นอย่างไร?

วิธีการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ของอริยมรรคนั้นมีองค์ประกอบอยู่ ๘ ประการ (ที่เรียกว่ามรรคมีองค์ ๘ ) แต่องค์ประกอบทั้ง ๘ ประการนี้สามารถสรุปย่อลงเป็นหลักการปฏิบัติได้ ๓ ประการ คือ “ปัญญา ศีล สมาธิ”  โดย “ปัญญา” ก็คือความรู้ในอริยสัจ ๔ โดยมีหัวใจอยู่ที่ ความเข้าใจและเห็นแจ้งเรื่อง ความเป็น “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” ของร่างกายและจิตใจของเรา, ส่วน “สมาธิ” ก็คือ อาการที่จิตจดจ่อหรือจับอยู่ที่ปัญญาตลอดเวลา, ส่วน “ศีล” ก็คือ ความปรกติของจิต ที่เกิดจากการรักษากายและวาจาให้เรียบร้อยงดงาม ซึ่งศีลนี้จะเป็นพื้นฐานให้จิตเกิดสมาธิ แล้วสมาธิก็จะเป็นพื้นฐานให้เกิดปัญญา แล้วปัญญาก็จะวนกลับมาทำให้เกิดศีลที่ถูกต้องได้ แล้วศีลที่ถูกต้องก็จะทำให้เกิดสมาธิและปัญญาที่ยิ่งๆขึ้นได้

แต่การปฏิบัติจริงๆของอริยมรรคนั้นก็คือ “ใช้ปัญญากับสมาธิมาทำงานร่วมกัน” แต่เราก็ต้องเป็นคนดีมีศีลธรรมอยู่ก่อนเป็นพื้นฐาน ซึ่งถ้าเรามีความตั้งใจเพ่งดูหรือเพ่งพิจารณาถึงความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในร่างกายและจิตใจของเรา รวมทั้งในสิ่งต่างๆที่เรากำลังรับรู้อยู่ ซึ่งการที่เราตั้งใจเพ่งดูหรือเพ่งพิจารณานั่นเองที่จะทำให้จิตเกิดสมาธิที่พอเหมาะพอสมที่จะทำให้กิเลสระงับหรือดับหายไปได้ (แม้เพียงชั่วคราว) ส่วนความรู้เรื่อง “ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” ของร่างกายและจิตใจของเรานั้นก็คือปัญญา ที่จะทำให้สังโยชน์ค่อยๆถูกทำลายลงไปได้เรื่อยๆ

สรุปได้ว่า หัวใจของการปฏิบัติตามหลักอริยมรรคก็คือ ปัญญา คือถ้าเราได้ศึกษาจนเกิดปัญญาขั้นเข้าใจและเห็นแจ้งขึ้นมาแล้ว เมื่อเรานำเอาปัญญานั้นมาเพ่งดูหรือเพ่งพิจารณาที่ร่างกายและจิตใจของเรา หรือที่สิ่งที่เรารับรู้อยู่ ก็จะทำให้เกิดสมาธิที่พอเหมาะพอสมที่จะดับกิเลสได้ขึ้นมาได้เองโดยที่เราไม่ต้องไปเสียเวลาฝึกก็ได้ แต่เราก็ต้องเป็นคนดีมีศีลธรรมอยู่ก่อนแล้วเป็นพื้นฐาน ซึ่งการศึกษาของเราต่อไปทั้งหมดก็คือ การศึกษาให้เกิดปัญญา โดยก่อนอื่นเราจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่าปัญญาคืออะไรและมีกี่ระดับ?

ปัญญามีกี่ระดับ?

คำว่า ปัญญา แปลว่า ความรอบรู้ในสิ่งที่ควรรู้ ซึ่งสรุปแล้วสิ่งที่ควรรู้ก็คือ ความรู้ที่ดับทุกข์ได้ โดยความรู้ที่ดับทุกข์ได้นั้นก็คือ ความรู้ในอริยสัจ ๔ นั่นเอง

โดยปัญญาหรือความรู้ในอริยสัจ ๔ นี้มี ๓ ระดับ อันได้แก่

๑. ปัญญาขั้นจำได้ คือ การที่เราได้ฟังหรืออ่านคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าเรื่องอริยสัจ ๔ มาแล้วอย่างครบถ้วน แล้วก็จำๆได้ ก็จัดว่าเรามี “ปัญญาขั้นจำได้” แล้ว แต่ปัญญาขั้นนี้ยังไม่มีผลทำให้ความทุกข์ลดน้อยลงหรือดับหายๆไปได้

๒. ปัญญาขั้นเข้าใจ คือ เมื่อเรานำเอาความเข้าใจนี้มาคิดพิจารณาหาเหตุหาผล อย่างละเอียดในทุกแง่มุมเท่าที่จำเป็น จนเกิดความเข้าใจอย่างชัดเจน ชนิดที่หาจุดผิดมาค้านไม่ได้ ก็เรียกว่าเรามี “ปัญญาขั้นเข้าใจ” ขึ้นมาแล้ว ซึ่งปัญญาขั้นนี้ก็มีผลเป็นความลดลงของความทุกข์บ้างแล้ว

๓. ปัญญาขั้นเห็นแจ้ง คือ เมื่อเรานำเอาความเข้าใจนี้มาพิสูจน์ ด้วยการทดลองปฏิบัติ จนเกิดผลเป็นความดับลงหรือลดลงของความทุกข์จริงๆ (แม้เพียงชั่วคราว) ก็เรียกว่าเรามี “ปัญญาขั้นเห็นแจ้ง” หรือ “รู้จริง” ขึ้นมาแล้ว ซึ่งปัญญาขั้นนี้จัดเป็นปัญญาสูงสุดของพุทธศาสนา

สรุปได้ว่า ปัญญาที่เป็นความรู้ในเรื่องการดับทุกข์ตามหลักอริยสัจ ๔ นั้นมีอยู่ ๓ ระดับ คือ ปัญญาขั้นจำได้, ปัญญาขั้นเข้าใจ, และปัญญาขั้นเห็นแจ้ง ดังนั้นเมื่อเราพบคำว่า “ปัญญา” ในพุทธศาสนา เราก็ต้องแยกให้ออกว่าหมายถึงปัญญาขั้นไหน เราจึงจะศึกษาพุทธศาสนาแล้วเข้าใจ และเกิดปัญญาขึ้นมาได้อย่างถูกต้อง แต่ถ้าเราแยกไม่ออกว่าเป็นปัญญาขั้นไหน เราก็จะศึกษาพุทธศาสนาไม่เข้าไม่เข้าใจ

อริยสัจ ๔ นี้เหมาะสำหรับใคร?

ที่สำคัญคนที่จะศึกษาอริยสัจ ๔ จนเกิด “ความเข้าใจ” และ “ความเห็นแจ้ง” ได้นั้น จะต้องเป็นคนที่มีความเฉลียวฉลาด (คือไม่งมงายและเป็นคนมีเหตุผล) อย่างมากอีกด้วย รวมทั้งยังต้อง มีความรู้พื้นฐาน ๒ เรื่อง คือเรื่อง “อนัตตา” (ความไม่ใช่อัตตาหรือตัวตนที่แท้จริง)  กับ “ขันธ์ ๕” (คือส่วนประกอบของร่างกายกับจิตใจ) อยู่ก่อนแล้วด้วย

โดยเมื่อเรามีความเข้าใจและเห็นแจ้งเรื่องความเป็น อนัตตา ของร่างกายและจิตใจของเราเองแล้ว เราก็จะมีความเข้าใจและเห็นแจ้งเรื่องความเป็น อนิจจัง (ความไม่เที่ยง) และ ทุกขัง (ความที่ต้องทนอยู่อย่างยากลำบาก) ของร่างกายและจิตใจของเราขึ้นมาได้เอง เพราะมันก็คือความจริงที่ซ่อนอยู่ด้วยกัน  

โดยความเข้าใจเรื่องความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของร่างกายกับจิตใจของเรานี้ เมื่อเรานำมาเพ่งพิจารณาดูที่ร่างกายและจิตใจของเราอย่างตั้งใจอย่างแน่วแน่ (คือด้วยสมาธิ) ก็จะทำให้จิตของเราเกิด นิพพิทา (คือความเบื่อหน่ายต่อทั้งความสุขและความทุกข์) และ วิราคะ (คือความไม่ยึดติดอยู่ในความสุขและความทุกข์) แล้วก็จะทำให้จิตเกิดวิมุตติ (คือความหลุดพ้นจาก กิเลส และ อุปาทาน) ซึ่งเมื่อจิตเกิดวิมุติแล้ว มันก็จะไม่มีความทุกข์ เมื่อจิตไม่มีความทุกข์มันก็จะ นิพพาน คือ สงบเย็นทันที (แม้เพียงชั่วคราว)

แต่การที่เราจะศึกษาเรื่อง อนัตตา กับ ขันธ์ ๕ ให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องได้นั้น จะต้องใช้หลัก “วิทยาศาสตร์” เท่านั้นมาศึกษา เพราะคำสอนเรื่องการดับทุกข์ของพระพุทธเจ้านี้จัดว่าเป็น “พุทธศาสตร์” ที่ใช้หลักวิทยาศาสตร์มาดับทุกข์ จะใช้หลัก “ไสยศาสตร์” (คือความเชื่อ) มาศึกษาไม่ได้เด็ดขาด เพราะเป็นสิ่งตรงข้ามกัน ดังนั้นเราจะต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่า วิทยาศาสตร์คืออะไร? พุทธศาสตร์คืออะไร? และ ไสยศาสตร์คืออะไร?

วิทยาศาสตร์คืออะไร?

วิทยาศาสตร์ คือ ความรู้ที่เกิดจากการสังเกตปรากฏการณ์ธรรมชาติ โดยวิทยาศาสตร์จัดเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการค้นหาความจริงของธรรมชาติที่ได้ผลที่สุด โดยวิทยาศาสตร์มีหลักการศึกษาสรุปได้ ๕ ประการ อันได้แก่

๑. ไม่ใช้ความเชื่อ คือไม่เชื่อคำสอนหรือทฤษฎีใดๆล่วงหน้าว่าเป็นความจริง

๒. ศึกษาจากสิ่งที่มีอยู่จริง คือศึกษาจากสิ่งที่เราสามารถพิสูจน์หรือสัมผัสได้จริง

๓. ศึกษาตามเหตุตามผล คือศึกษาจากเหตุผลที่มีอยู่ในสิ่งที่มีอยู่จริง

๔. ศึกษาอย่างเป็นระบบ คือศึกษาจากพื้นฐานไปสู่ยอดตามลำดับจนครบถ้วน

๕. พิสูจน์ก่อนยอมรับ คือจะต้องมีการพิสูจน์จนเกิดความแจ้งประจักษ์อย่างแน่ชัดก่อนยอมรับเอามาปฏิบัติ

โดยหลักทั้ง ๕ ของวิทยาศาสตร์นี้ สามารถนำไปใช้ค้นคว้าหาความจริงของวัตถุก็ได้ หรือจะนำไปใช้ค้นคว้าหาความจริงของจิตใจก็ได้ ซึ่งเมื่อเราค้นพบความจริงที่เราต้องการแล้ว เราก็เอาความรู้นั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ใช้หลักวิทยาศาสตร์นี่เองในการค้นหาความจริงว่า ความทุกข์ของจิตใจมนุษย์นั้นมันเกิดมาจากอะไร? และจะดับมันหรือทำให้มันไม่เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? จนทำให้เกิดคำสอน อริยสัจ ๔ ที่เป็นคำสอนเรื่องการดับทุกข์ของจิตใจขึ้นมา ซึ่งคำสอนเรื่องอริยสัจ ๔ นี้ เรียกว่าเป็น พุทธศาสตร์

พุทธศาสตร์คืออะไร?

พุทธศาสตร์ คือ ระบบความรู้ของผู้มีปัญญา ซึ่งปัญญาก็คือความรู้ในอริยสัจ ๔ ที่เป็นคำสอนเรื่องการดับทุกข์ โดยหลักการศึกษาและปฏิบัติของพุทธศาสตร์ก็สรุปอยู่ที่

๑. มุ่งตรงสู่การดับทุกข์ คือพระพุทธเจ้าจะสอนเฉพาะเรื่องการดับทุกข์เท่านั้น

๒. ต้องพึ่งตนเอง คือพระพุทธเจ้าสอนให้เราพึ่งตนเองทั้งในการศึกษาและปฏิบัติ

๓. ไม่ใช้ความเชื่อ คือพระพุทธเจ้าไม่สอนให้เชื่อคำสอนของใครๆล่วงหน้าว่าเป็นความจริง

๔. ศึกษาจากสิ่งที่มีอยู่จริง คือพระพุทธเจ้าสอนให้เราศึกษาจากร่างกายและจิตใจของเราเอง

ในปัจจุบัน ที่ยังมีชีวิตอยู่ และมีความจำดีอยู่นี้

๕. ศึกษาตามเหตุตามผล คือพระพุทธเจ้าสอนให้ศึกษาหาเหตุหาผลจากสิ่งที่มีอยู่จริง ที่เราสามารถพิสูจน์หรือสัมผัสได้เท่านั้น

๖. ศึกษาอย่างเป็นระบบ คือพระพุทธเจ้าสอนให้เราศึกษาจากพื้นฐานไปสู่ยอดตามลำดับจนครบถ้วนสมบูรณ์

๗. พิสูจน์ก่อนยอมรับ คือพระพุทธเจ้าสอนให้เราพิสูจน์คำสอนของพระองค์เอง จนเกิดความเห็นแจ้งอย่างแน่ชัดก่อนยอมรับเอามาปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นต่อไป

สรุปได้ว่าพุทธศาสนาก็มีหลักการเดียวกับวิทยาศาสตร์ แต่คนส่วนมากในโลกจะมีความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ เช่น เรื่องเทพเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ซึ่งก็จะทำให้เขาไม่ยอมรับหลักวิทยาศาสตร์ รวมทั้งไม่ยอมรับพุทธศาสนาด้วย โดยความเชื่อนี้จัดเป็น ไสยศาสตร์ คือเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นจากการฟังจากคนอื่นมา หรืออ่านจากตำรามา แล้วก็เชื่อมั่นว่าสิ่งที่เราได้ฟังหรืออ่านมานั้นเป็นความจริง ซึ่งความเชื่อนี้จัดเป็นศัตรูของวิทยาศาสตร์และพุทธศาสตร์ ที่เราจะต้องละทิ้งความเชื่อในเรื่องศาสนาและชีวิตไปก่อน เราจึงจะศึกษาให้เกิดปัญญาขึ้นมาได้

ไสยศาสตร์คืออะไร?

ไสยศาสตร์ คือ ความรู้ของคนที่หลับหรือยังไม่ตื่น ซึ่งคนที่ยังไม่ตื่นก็คือคนที่ยังไม่มีปัญญา โดยหลักการศึกษาของไสยศาสตร์ก็ตรงข้ามกับหลักการศึกษาของพุทธศาสตร์ อันได้แก่

๑. สอนให้เชื่อมั่นไว้ก่อน คือจะสอนให้เชื่อมั่นในคำสอนเอาไว้ก่อน และห้ามถาม ห้ามสงสัย

๒. สอนให้พึ่งสิ่งภายนอก คือจะสอนให้เราพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอกเป็นหลัก

๓. ใช้การจินตนาการ คือจะไม่มีของจริงมาให้ศึกษา ต้องใช้การจินตนาการขึ้นมาตามความเชื่อ

๔. ไม่มีเหตุผล คือความเชื่อจะไม่มีเหตุผลที่สมเหตุสมผลมาอธิบายให้เราเข้าใจได้

๕. ไม่มีระบบ คือความเชื่อจะไม่มีระบบหรือหลักการศึกษาที่แน่นอน

๖. พิสูจน์ไม่ได้ คือความเชื่อจะสอนเรื่องลึกลับไกลตัวหรือเรื่องที่เหนือความสามารถที่คนธรรมดาจะพิสูจน์ได้

สรุปได้ว่า ไสยศาสตร์จะเน้นให้มีความเชื่อเป็นหลัก โดยความเชื่อก็คือ ความมั่นใจว่าเป็นความจริง ซึ่งเมื่อเรายังไม่พบความจริง เราจึงต้องใช้ความเชื่อไปก่อน ซึ่งความเชื่อก็มีทั้ง “ความเชื่อที่ดี” ที่ปฏิบัติตามแล้วทำให้ชีวิตของมีความสุขกายและความสุขใจ และ “ความเชื่อที่ไม่ดี” ที่ปฏิบัติตามแล้วทำให้ชีวิตมีความทุกข์กายและความทุกข์ใจ แต่ทุกความเชื่อย่อมเจืออยู่ด้วยความงมงาย (คือไม่ฉลาด) ทั้งสิ้น ไม่มากก็น้อย ดังนั้นจึงเท่ากับว่า ไสยศาสตร์มีหลักการที่ตรงข้ามกับพุทธศาสตร์

อัตตาคืออะไร?

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่า คำสอนเรื่อง “อัตตา” นี้ ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า แต่เป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์ (หรือฮินดู) ที่เขามีความเชื่อว่า “จิตของคนเราและสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายเป็นอัตตา”

โดยคำว่า อัตตา แปลว่า ตน หรือ ตนเอง คือ หมายถึง สิ่งที่เป็นตัวตนที่แท้จริง ซึ่งสิ่งที่เป็นตัวตนที่แท้จริงนั้นมีลักษณะ ๓ ประการอันได้แก่

๑. นิจจัง คือ เที่ยง หรือ เป็นอมตะ คือสิ่งที่เป็นอัตตาจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งจะไม่มีการแตกสลาย (ใช้กับวัตถุ) หรือดับหายไป (ใช้กับจิตใจ) อย่างเด็ดขาด

๒. สุขัง คือ สุขสบาย คือสิ่งที่เป็นอัตตานั้น ถ้ามันบริสุทธิ์ มันก็จะตั้งอยู่อย่างสุขสบายหรือไม่มีปัญหาใดๆ

๓. อัตตา คือ มีตัวตนเป็นของมันเอง คือสิ่งที่เป็นอัตตานั้นจะมีตัวตนเป็นของมันเอง โดยไม่อาศัยสิ่งอื่นใดมาปรุงแต่ง (คือร่วมกันทำหรือสร้าง) ให้เกิดตัวตนของมันขึ้นมา

โดยความเชื่อว่า “จิตเป็นอัตตา” ของศาสนาพราหมณ์นี้เอง ที่ทำให้เกิดความเชื่อเรื่อง การเกิดใหม่, เรื่องนรก สวรรค์ ฯ (ชนิดที่เป็นสถานที่), เรื่อง เทวดา นางฟ้า พระอินทร์ พระพรหม เป็นต้นขึ้นมา ซึ่งความเชื่อนี้ก็มีต้นเหตุมาจาก ความเชื่อเรื่อง “สิ่งเหนือธรรมชาติ” อันได้แก่ พระเจ้า (หรือเทพเจ้า) ว่าเป็น “สิ่งสูงสุด” ที่สร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา รักษาสิ่งต่างๆเอาไว้ และทำลายสิ่งต่างๆไปเมื่อถึงเวลา รวมทั้งคอยดลบันดาลให้สิ่งต่างๆเป็นไป

พระพุทธเจ้าสอนว่าอะไรเป็นสิ่งสูงสุด?

ส่วนพระพุทธเจ้าไม่ทรงยอมรับคำสอนที่ว่า พระเจ้า คือ สิ่งสูงสุด แต่พระองค์ทรงยอมรับว่า สิ่งสูงสุด ที่ “สร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา รักษาสิ่งต่างๆเอาไว้ และทำลายสิ่งต่างๆไปเมื่อถึงเวลา รวมทั้งคอยดลบันดาลให้สิ่งต่างๆเป็นไป” นั้นก็คือ “กฎสูงสุดของธรรมชาติ” ที่เรียกว่า กฎอิทัปปัจจยตา ที่หมายถึง กฎการอาศัยปัจจัยแล้วเกิดขึ้น

โดยกฎสูงสุดนี้มีใจความโดยสรุปว่า “การที่สิ่งใดจะเกิดขึ้น มันจะต้องมีเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่ง (คือร่วมกันทำ) ให้เกิดขึ้น” ซึ่งนี่ก็คือ “สิ่งสูงสุด” ที่ “สร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา รักษาสิ่งต่างๆเอาไว้ และทำลายสิ่งต่างๆไปเมื่อถึงเวลา รวมทั้งคอยดลบันดาลให้สิ่งต่างๆเป็นไป” (คำว่า “สิ่ง” หมายถึง ธรรมชาติ ซึ่งสรุปอยู่ที่ วัตถุ และ จิตใจ)

โดยทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุและปัจจัยนี้เราเรียกว่า “สิ่งปรุงแต่ง” (คือ คำว่า ปรุงแต่ง หมายถึง การร่วมกันทำหรือสร้างก็ได้ หรือหมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นจากเหตุและปัจจัยก็ได้ หรือหมายถึง สิ่งที่ไปทำให้เกิดสิ่งอื่นขึ้นมาก็ได้)

โดยเรื่องนี้อธิบายได้ว่า การที่สิ่งใดจะเกิดขึ้นจะต้องมีเหตุหลายๆเหตุมาปรุงแต่ง  ให้เกิดขึ้น (คือถ้ามีเพียงเหตุเดียวจะไม่สามารถทำให้เกิดสิ่งใดขึ้นมาได้) ซึ่งถ้าเหตุใดใหญ่หรือสำคัญที่สุดหรือเห็นได้ง่าย จะเรียกว่า “เหตุ” ที่หมายถึง สิ่งที่ทำให้เกิดผล ส่วนเหตุที่เหลือทั้งหมดแต่ละเหตุนั้น จะเรียกว่า “ปัจจัย” ที่หมายถึง เหตุย่อยๆ หรือ สิ่งสนับสนุนเหตุใหญ่

อีกอย่างถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็ต้องพูดว่า “เหตุปัจจัยทำให้เกิดผล”แต่เรามักชอบพูดสั้นๆว่า “เหตุทำให้เกิดผล” หรือ “ผลเกิดมาจากเหตุ” ซึ่งก็ไม่ค่อยจะถูกต้องนัก เพราะไม่ได้พูดถึงปัจจัย แต่เราก็รู้กันอยู่แล้วว่าปัจจัยมีอะไรบ้าง เราจึงไม่นิยมพูดถึงปัจจัย เพราะมันจะยาวไม่น่าฟัง ซึ่งก็ขอให้เราเข้าใจจุดนี้เอาไว้ด้วย จะได้ไม่เข้าใจสับสนเมื่อพบคำพูดสั้นๆเช่นนี้  

โดย “กฎอิทัปปัจจยตา” นี้มีใจความโดยละเอียดว่า “เมื่อสิ่งนี้ๆมี สิ่งนี้จึงมี, เมื่อสิ่งนี้ๆเกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น, เมื่อสิ่งนี้ๆไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี, เมื่อสิ่งนี้ๆดับหายไป สิ่งนี้จึงดับหายไป” คือสรุปให้เข้าใจได้ง่ายๆว่า “เมื่อมีเหตุ จึงมีผล, เมื่อเหตุเกิดขึ้น ผลจึงเกิดขึ้น, เมื่อไม่มีเหตุ ผลจึงไม่มี, เมื่อเหตุหายไป ผลจึงหายไป”

โดยกฎอิทัปปัจจยตานี้ก็คือ “ความจริงพื้นฐานของธรรมชาติ” ซึ่งธรรมชาติก็คือทุกสิ่งที่เกิดขึ้น โดยทุกสิ่งที่เกิดขึ้น จะต้องตกอยู่ภายใต้กฎอิทัปปัจจยตานี้ทั้งสิ้น ไม่มีอะไรที่จะอยู่นอกเหนือกฎอิทัปปัจจยตานี้ไปได้ ดังนั้นกฎอิทัปปัจจยตานี้ จึงเทียบได้กับ “พระเจ้า” (หรือเทพเจ้า) ของศาสนาที่เชื่อเรื่อง “เหนือธรรมชาติ” (คือเรื่อง “เหตุทำให้เกิดผล” นี้เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ถ้าเป็นเรื่อง “การเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุ” เรียกว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ)

เมื่อเราพิจารณากฏอิทัปปัจจยตาอย่างละเอียด เราก็จะพบว่า แม้เพียงเหตุเดียว ก็สามารถทำให้เกิดผลได้หลายๆผล ส่วนผลเพียงผลเดียว ก็เกิดมาจากเหตุหลายๆเหตุ และเมื่อเหตุทำให้เกิดผลใดขึ้นมาแล้ว ผลนั้นก็ยังกลายเป็นเหตุ แล้วไปทำให้เกิดผลใหม่ขึ้นมาได้อีก แล้วผลใหม่นั้น ก็ยังกลายเป็นเหตุ ให้เกิดผลใหม่ขึ้นมาได้อีก คือเป็นการผลักดันกันของเหตุ-ผล, เหตุ-ผล, เหตุ-ผล ฯลฯ เหมือนโดมิโนที่ผลักดันกันต่อๆไปเหมือนห่วงโซ่ที่คล้องต่อๆกันไปเป็นสายยาวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

อีกทั้งสายโซ่แต่ละสายนั้น ก็ยังมีความเกี่ยวพันกันกับสายโซ่อื่นๆอีกมากมายอย่างยุ่งเหยิงอีกด้วย ซึ่งนี่ก็แสดงถึงความจริงว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาในเอกภพนี้ ล้วนมีความเกี่ยวข้องกันอยู่ทั้งสิ้น ไม่มากก็น้อย ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม ซึ่งกฎอิทัปปัจจยตานี้เอง ที่เรียกว่าเป็น “สิ่งสูงสุด” ของพุทธศาสนา ที่สร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา รักษาทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ ทำลายสิ่งต่างๆไปเมื่อถึงเวลา และดลบันดาลให้สิ่งต่างๆเป็นไป

เมื่อเราเข้าใจแล้วว่า กฎอิทัปปัจจยตา เป็นสิ่งสูงสุดของพุทธศาสนา ซึ่งนี่ก็แดงว่า พุทธศาสนาก็มีพระเจ้าหรือสิ่งสูงสุดที่เอาไว้ให้เคารพและเกรงกลัวด้วยเหมือนกัน ซึ่งกฎอิทัปปัจจยตานี้ แม้พระพุทธเจ้าเองก็ยังทรงเคารพกฎอิทัปปัจจยตานี้ ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่สำคัญที่ชาวพุทธทุกคนต้องรู้ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่เรียกว่าเป็น ชาวพุทธ ที่หมายถึง ผู้ที่ตื่นจากความโง่

โดยความรู้เรื่องกฎอิทัปปัจจยตานี้เอง ที่เป็นความรู้พื้นฐานที่เราจะนำมาศึกษา เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเห็นแจ้งถึงเรื่อง ไตรลักษณ์ ที่หมายถึง  ความจริง ๓ ประการของสิ่งปรุงแต่งทั้งหลาย อันได้แก่ความจริงเรื่อง อนัตตา (ความไม่ใช่อัตตา), อนิจจัง (ความไม่เที่ยง) , ทุกขัง (ภาวะที่ต้องทน) , ของ “ขันธ์ ๕” หรือร่างกายและจิตใจของเรา แต่ถ้าเรายังไม่มีความรู้เรื่องกฎอิทัปปัจจตาอย่างถูกต้อง เราก็จะศึกษาให้เกิดความเข้าใจและเห็นแจ้งเรื่อง “ไตรลักษณ์” ไม่ได้

ไตรลักษณ์คืออะไร?

เมื่อกฎอิทัปปัจจยตาได้ปรุงแต่งให้เกิดสิ่งใดขึ้นมาแล้ว สิ่งนั้นก็เรียกว่าเป็น “สิ่งปรุงแต่ง” ซึ่งสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นมานี้ เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว มันก็ยังต้องตกอยู่ภายใต้ กฎ ๓ ประการ ที่เรียกว่า ไตรลักษณ์ ที่หมายถึง ลักษณะธรรมดา ๓ ประการ อันได้แก่

๑. อนิจจัง แปลว่า ไม่เที่ยง คือหมายถึง สิ่งปรุงแต่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นมานั้น จะไม่สามารถตั้งอยู่นาภพเดิมได้ตลอดไปชั่วนิรันดร (คือไม่เป็นอมตะ) คือสภาพการปรุงแต่งของมันนั้น จะมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และสุดท้ายไม่ช้าก็เร็ว สภาพการปรุงแต่งของมันนั้นก็ต้องแตกสลาย (ใช้กับวัตถุ) หรือดับหายไป (ใช้กับจิตใจ) อย่างแน่นอน

๒. ทุกขัง แปลว่า ทน, ต้องทน คือหมายถึง ภาวะที่ต้องทน คือถ้าเป็น “ภาวะทุกขังของวัตถุ” (คือร่างกายของคนอื่นก็จัดว่าเป็นพวกวัตถุด้วยเหมือนกัน) ก็หมายถึง ความอิดหนาระอาใจที่เกิดขึ้นกับจิตของเรา คือเมื่อเราเพ่งพิจารณาวัตถุทั้งหลายด้วยสมาธิ เราก็จะพบว่ามันต้องทนประคับประคองสภาพการปรุงแต่งของมันเอาไว้ด้วยความยากลำบาก เพราะมันมีสิ่งต่างๆภายนอกมากมายที่คอยทำลายสภาพการปรุงแต่งของมันให้เปลี่ยนแปลงและแตกสลายหายไปอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งมันยังต้องทนต่อความไม่เที่ยง (คืออนิจจัง) ของมันเองอีกด้วย ซึ่งเมื่อเราพิจารณาเห็น “ภาวะทุกขังของวัตถุ” ด้วยสมาธิดังนี้แล้ว จิตของเราก็จะเกิด ความเบื่อหน่าย หรือ อิดหนาระอาใจ เพราะเห็นว่าวัตถุมันไม่ได้น่ารักหรือไม่น่าพึงพอใจเลย ซึ่งนี่ก็คือความมายของ “ทุกขังของวัตถุ” ที่เกิดขึ้นกับจิตของเรา

ส่วน “ภาวะทุกขังของร่างกายของเรา” ก็หมายถึง ความรู้สึกที่ต้องทนของร่างกาย คือเมื่อร่างกายมี “ความรู้สึกที่ต้องทนน้อย” ก็สมมติเรียกว่า ความสบายกาย แต่ถ้าร่างกายมี “ความรู้สึกที่ต้องทนมาก” อันได้แก่ ความเจ็บ ความปวด ความอึดอัด ความหิว ความกระหาย ความหนาว ความร้อน ความหนัก ความเหนื่อย เป็นต้น ก็เรียกว่า ความทุกข์กาย

แต่ถ้าเป็น “ภาวะทุกขังของจิตใจของเรา” ก็หมายถึง ความรู้สึกที่ต้องทนของจิต ที่เกิดขึ้นเมื่อจิตของเราได้สัมผัสกับ “ภาวะทุกขังของร่างกาย” คือเมื่อร่างกายมี “ความรู้สึกที่ต้องทนน้อย” ก็จะทำให้จิตเกิด “สุขเวทนา” ที่แปลว่า ความรู้สึกที่ทนได้ง่าย แต่ถ้าร่างกายมี “ความรู้สึกที่ต้องทนมาก” ก็จะทำให้จิตเกิด “ทุกขเวทนา” ที่แปลว่า ความรู้สึกที่ทนได้ยาก

ส่วนกรณีที่ “จิตกำลังเกิดกิเลส” ก็จะทำให้จิตเกิด ความรู้สึกที่ทนได้ยาก ที่เรียกว่า “ความทุกข์” (ทั้งความทุกข์ซ่อนเร้น ความทุกข์เปิดเผย) แต่ในกรณีที่ “จิตว่างจากกิเลส” จิตก็จะยังมี “ภาวะทุกขัง” อยู่ด้วยเสมอ เพราะจิตเป็น “สิ่งปรุงแต่ง” แต่ในกรณีนี้ “ภาวะทุกขังของจิตได้ลดน้อยจนถึงที่สุดเท่าที่มันจะลดลงได้แล้ว” ซึ่งภาวะนี้เองที่เรียกว่า “ที่สุดแห่งทุกข์” หรือ “นิพพาน” ที่หมายถึง ความสงบเย็น

๓. อนัตตา แปลว่า ไม่ใช่อัตตา คือหมายถึง ไม่ใช่อัตตา (หรือตัวตนที่แท้จริง) ซึ่งก็คือเป็นการปฏิเสธหรือไม่ยอมรับว่าจะมีสิ่งใดเป็นอัตตาตามที่ศาสนาพราหมณ์สอน ซึ่งเมื่อสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายใช่อัตตา แล้วจะให้เรียกมันว่าอย่างไร? ซึ่งคำตอบก็คือให้เรียกว่า “ตัวตนมายา” (คือเป็นสิ่งหลอกลวงว่าเป็นของจริง) หรือ “ตัวตนชั่วคราว” (คือมันก็มีตัวตนอยู่ด้วยเหมือนกัน เพียงแค่มีชั่วคราวเท่านั้น) หรือ “ตัวตนสมติ” (คือสมมติเรียกว่าเป็นตัวตนเพื่อใช้ในการสื่อสาร)

สรุปได้ว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า “สิ่งปรุงแต่งทั้งหลายเป็นอนิจจัง (คือไม่เที่ยง) และทุกขัง (คือมีภาวะที่ต้องทน)” แต่ทรงสรุปว่า “สิ่งทั้งหลาย (คือทั้งสิ่งปรุงแต่ง และ สิ่งที่ไม่ปรุงแต่งอันได้แก่นิพพาน) ล้วนเป็นอนัตตา (คือไม่ใช่อัตตา)” ซึ่งความเข้าใจเรื่อง “ความเป็นอนัตตาของทุกสิ่ง” นี้เองที่เป็นหัวใจของปัญญา ที่เมื่อเรานำเอามาเพ่งดูที่ร่างกายและจิตใจของเราเองอย่างตั้งใจที่สุด (คือด้วยสมาธิ) ก็จะทำให้เกิดความเข้าใจ (หรือความเห็น) ขึ้นมาว่า สิ่งทั้งหลายเป็น “สุญญตา” คือว่างเปล่าจากอัตตาหรือตัวตนที่แท้จริงของมัน และเมื่อจิตเห็นสุญญตา ก็จะทำให้กิเลสอ่อนแรงลงจนระงับหรือดับหายไปทันที (แม้เพียงชั่วคราว) และเมื่อกิเลสดับหายไป จิตก็จะไม่มีความทุกข์ เมื่อจิตไม่มีความทุกข์มันก็จะนิพพาน (คือสงบเย็น) ทันที (แม้เพียงชั่วคราว)

สุญญตาคืออะไร?

คำว่า สุญญตา แปลว่า ความว่าง ซึ่งคำนี้มีความหมาย ๓ ประการ อันได้แก่

๑. ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย คือหมายถึง ไม่มีทั้งวัตถุและจิตใจ

๒. ว่างจากอัตตา คือหมายถึง ความว่างจากสิ่งที่เป็น “อัตตา”

๓. จิตว่าง คือหมายถึง จิตที่ว่างจากกิเลส

โดยความหมายของคำว่า สุญญตา ที่สำคัญที่เราจะต้องศึกษาให้เข้าใจก็คือ ความว่างจากอัตตา ซึ่งคำว่าอัตตานี้ก็หมายถึง ตัวตนที่แท้จริง หรือ ตัวตนอมตะ ซึ่งธรรมชาติของคนเราเกือบจะทุกคนก็มีจะมี “ความเข้าใจผิด” ว่า “จิตหรือใจของเรานี้เป็นอัตตา ซึ่งความเข้าใจผิดนี้เองที่เป็นเหตุทำให้จิตของเราเกิด “กิเลส” (คือความพึงพอใจ-ไม่พึงพอใจ) และกิเลสก็จะเป็นเหตุให้จิตของเราเกิด “ความทุกข์” (คือความเศร้าโศกฯ)

แต่เมื่อใดที่เรามี “ความเข้าใจที่ถูกต้อง” ว่า “จิตหรือใจของเรานี้เป็นอนัตตา” (คือไม่ใช่อัตตา) ก็จะทำให้เราเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องลึกซึ้งขึ้นมาว่า “จิตหรือใจของเรานี้เป็นสุญญตา” (คือว่างจากอัตตา) และเมื่อเรามีความเข้าใจที่ถูกต้องว่าจิตใจของเรานี้เป็น “สุญญตา” แล้ว พระพุทธเจ้าสอนให้เรานำเอาความเข้าใจนี้มาเพ่งพิจารณาดูที่จิตใจของเราเองจริงๆด้วยความตั้งใจอย่างยิ่ง (คือด้วยสมาธิ) ก็จะทำให้กิเลสที่ยังไม่เกิด ก็จะไม่เกิดขึ้น หรือกิเลสที่กำลังเกิดอยู่ ก็จะระงับหรือดับหายไปทันที (แม้เพียงชั่วคราว) และเมื่อจิตไม่มีกิเลส มันก็จะไม่มีความทุกข์ (คือไม่มีความเศร้าโศกฯ) ซึ่งการที่จิตของเราว่างหรือไม่มีกิเลส (แม้เพียงชั่วคราว) นี้เองที่เรียกว่า “จิตว่าง”

สรุปได้ว่า การที่เราจะศึกษาให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องเรื่อง “จิตว่าง” ได้นั้น เราจะต้องศึกษาให้เกิดความเข้าใจเรื่อง “จิตเป็นสุญญตา” (คือว่างจากตัวตนที่เป็นเราจริงๆ) ก่อน แล้วจึงนำความเข้าใจนี้มาเพ่งพิจารณาที่ “จิตของเราเองจริงๆ” ด้วยความตั้งใจ จึงจะทำให้เกิดจิตว่างขึ้นมาได้จริง แต่การที่เราจะศึกษาให้เกิดความเข้าใจเรื่อง “จิตเป็นสุญญตา” ได้นั้น จำเป็นที่เราจะต้องศึกษาเรื่อง “ธาตุ ๖” ให้เข้าใจก่อน เพราะ ธาตุ ๖ นี้เป็นพื้นฐานในการปรุงแต่งให้เกิด “ขันธ์ ๕” (คือร่างกายและจิตใจของเรา) ขึ้นมา เราจึงจะศึกษาให้เกิดความเข้าใจเรื่อง “จิตเป็นสุญญาตา” ได้อย่างถูกต้อง  

ธาตุ ๖ คืออะไร?

คำว่า ธาตุ หมายถึง สิ่งพื้นฐานของทุกสิ่ง คือทุกสิ่ง (คือทั้งวัตถุและจิตใจ) ที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ ล้วนเกิดขึ้นมาจาก ธาตุ ๖ ชนิด มาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น ซึ่งธาตุทั้ง ๖ นั้นก็ได้แก่

๑. ธาตุดิน คือคุณสมบัติที่ค่อนแข็ง จับต้องได้

๒. ธาตุน้ำ คือคุณสมบัติที่เหลว รวมตัวกัน

๓. ธาตุไฟ คือคุณสมบัติที่ร้อน ทำลาย

๔. ธาตุลม คือคุณสมบัติที่บางเบา แผ่กระจาย

๕. ธาตุวิญญาณ (วิญญาณธาตุ) คือคุณสมบัติที่ทำให้เกิดการรับรู้สิ่งต่างๆได้

๖. ธาตุว่าง (อากาสธาตุ) คือคุณสมบัติที่เป็นที่ว่างเปล่าเพื่อให้วัตถุอาศัยอยู่

โดยวัตถุสิ่งของทั้งหลายก็เกิดขึ้นมาจาก ธาตุดิน, ธาตุน้ำ, ธาตุไฟ, และธาตุลม มาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น และอาศัยธาตุว่างเพื่อตั้งอยู่ ถ้าไม่มีธาตุว่างก็จะทำให้วัตถุไม่มีที่อาศัย ส่วนธาตุวิญญาณนี้ก็คือการรับรู้ที่เกิดขึ้นตามอายตนะภายใน คือ ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ ของเรา ซึ่งธาตุวิญญาณ (หรือวิญญาณ) นี้ก็คือสิ่งพื้นฐานที่มาปรุงแต่งให้เกิดจิตใจของเราและสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายขึ้นมานั่นเอง โดยวิญญาณนี้ก็เกิดจาก อายตนะภายใน กับ อายตนะภายนอก มากระทบกัน

อายตนะคืออะไร?

อายตนะ แปลว่า สิ่งที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อ ซึ่งมีอยู่ ๒ ประเภท คือ อายตนะภายใน กับ อายตนะภายนอก

โดย อายตนะภายใน หมายถึง สิ่งที่ทำหน้าที่เชื่อมต่ออันเป็นภายใน ซึ่งมีอยู่ ๖ อย่าง อันได้แก่

๑. ตา คือ สิ่งที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับ รูป

๒. หู คือ สิ่งที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับ เสียง

๓. จมูก คือ สิ่งที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับ กลิ่น

ลิ้น คือ สิ่งที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับ รส

๕. กาย คือ สิ่งที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับ โผฏฐัพพะ

๖. ใจ คือ สิ่งที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับ ธรรมารมณ์

ส่วน อายตนะภายนอก หมายถึง สิ่งที่ทำหน้าที่เชื่อมต่ออันเป็นภายนอก ซึ่งมีอยู่ ๖ อย่าง อันได้แก่

๑. รูป คือ สิ่งที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับ ตา

๒. เสียง คือ สิ่งที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับ หู

๓. กลิ่น คือ สิ่งที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับ จมูก

๔. รส คือ สิ่งที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับ ลิ้น

๕. โผฏฐัพพะ (คือสิ่งที่มาสัมผัสกาย อันได้แก่ เย็น ร้อน อ่อน แข็งฯ) คือ สิ่งที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับ กาย

๖. ธรรมมารมณ์ (คือสิ่งที่มาสัมผัสใจ อันได้แก่ การรับรู้, การจำสิ่งที่รับรู้ได้, ความรู้สึก, การปรุงแต่งคิดนึกของจิต) คือ สิ่งที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับ ใจ

การศึกษาอริยสัจ ๔ จะเริ่มต้นศึกษาที่อายตนะนี้ คือให้เรามาดูที่อายตนะภายในของเรา คือเมื่ออายตนะภายใน ได้กระทบกับอายตนะภายนอกเมื่อใด ก็จะทำให้เกิดวิญญาณหรือการรับรู้ที่อายตนะภายในนั้นขึ้นมาด้วยทันที และเมื่อเกิดวิญญาณขึ้นมาแล้วก็จะทำให้เกิดสัญญาหรือการจำสิ่งที่รับรู้ได้ขึ้นมาด้วยทันที แล้วก็จะทำให้เกิดเวทนาหรือความรู้สึกต่อสิ่งที่ได้รับรู้ขึ้นมาด้วยทันที ซึ่งขณะที่เกิดเวทนาอยู่นี้ ถ้าจิตไม่มี “สติ-ปัญญา-สมาธิ” ก็จะทำให้เกิดสังขารหรือการปรุงแต่งคิดนึก (เช่นกิเลสฯ) ขึ้นมาทันที และเมื่อจิตเกิดกิเลสขึ้นมา มันก็จะทำให้จิตเกิดความทุกข์ แต่ขณะที่เกิดเวทนาอยู่นี้ถ้าจิตของเรามี “สติ-ปัญญา-สมาธิ” จิตก็จะไม่เกิดกิเลส เมื่อจิตไม่มีกิเลสมันก็จะนิพพานคือสงบเย็นทันที (แม้เพียงชั่วคราว)

แต่เราต้องเข้าใจก่อนว่า อายตนะภายใน คือ ตา, หู, จมูก ลิ้น, กาย, ใจ, นี้ มันไม่ได้เป็นวัตถุ เช่น ตาก็ไม่ใช่ลูกตา, หรือหู ก็ไม่ใช่แก้วหู เป็นต้น แต่มันเป็นนามธรรม (สิ่งที่ไม่มีรูปร่างเหมือนวัตถุ) ที่เกิดขึ้นมาที่ลูกตา หรือแก้วหู เป็นต้น ของร่างกายที่ยังดีอยู่หรือยังไม่ตายและกำลังทำงานอยู่ คือเมื่อมันได้เกิด “สิ่งที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับรูป” ขึ้นมา ก็เรียกว่าได้เกิด “อายตนะตา” ขึ้นมา หรือเมื่อมันได้เกิด “สิ่งที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับเสียง” ขึ้นมา ก็เรียกว่าได้เกิด “อายตนะหู” ขึ้นมา เป็นต้น ซึ่งนี่ก็จะทำให้เราเข้าใจได้ทันทีว่า อายตนะภายในทั้ง ๖ นี้ มันก็มีการเกิดและดับสลับไปสลับมาอยู่ตลอดเวลาขณะที่จิตของเรากำลังเกิดอยู่ แต่ถึงแม้ลูกตา เป็นต้น ของเราจะมีหรือกำลังลืมตาอยู่ก็ตาม แต่ถ้ามันไม่ได้ทำหน้าที่รับรู้รูป ก็เท่ากับว่ามันยังไม่ได้เกิดอายตนะตาขึ้นมา เป็นต้น

วิญญาณคืออะไร?

คำว่า วิญญาณ หมายถึง การรับรู้ คือเมื่อ “อายตนะภายใน” ได้กระทบกับ “อายตนะภายนอก” ก็จะทำให้เกิดวิญญาณหรือการรับรู้ขึ้นมาที่อายตนะภายในนั้นขึ้นมาทันที อย่างเช่น เมื่อมีรูปมากระทบตา ก็จะทำให้เกิดการรับรู้รูป (การเห็นรูป) ขึ้นมาที่ตาทันที หรือเมื่อมีเสียงมากระทบหู ก็จะทำให้เกิดการรับรู้เสียง (การได้ยินเสียง) ขึ้นมาที่หูทันที เป็นต้น ดังนั้นวิญญาณนี้จึงมีอยู่ ๖ อย่าง อันได้แก่

๑. วิญญาณทางตา คือ การรับรู้รูป หรือการเห็นรูป

๒. วิญญาณทางหู คือ การรับรู้เสียง หรือการได้ยินเสียง

๓. วิญญาณทางจมูก คือ การรับรู้กลิ่น หรือการได้กลิ่น

๔. วิญญาณทางลิ้น คือ การรับรู้รส หรือการได้ลิ้มรส

๕. วิญญาณทางกาย คือ การรับรู้โผฏฐัพพะ หรือการได้รับรู้สิ่งที่มากระทบร่างกาย

๖. วิญญาณทางใจ คือ การรับรู้ธรรมารมณ์ หรือการได้รับรู้สิ่งที่มากระทบใจ

โดยวิญญาณนี้นักวิทยาศาสตร์บอกว่า มันก็คือไฟฟ้าอ่อนๆที่ร่างกายของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายที่ยังไม่ตายสร้างขึ้นมา ถ้าร่างกายตายวิญญาณนี้ก็จะดับหาตามไปด้วย ซึ่งวิญญาณนี้ก็เปรียบเหมือนไฟฟ้าที่เกิดจากการที่เมื่อมีแสงแดดมากระทบกับแผ่นโซล่าเซลล์ที่ยังดีอยู่ ก็จะทำให้เกิดไฟฟ้าขึ้นมาที่แผ่นโซล่าเซลล์นั้นทันที แต่ถ้าไม่มีแสงแดดมากระทบแผ่นโซล่าเซลล์ ก็จะไม่มีไฟฟ้าเกิดขึ้น หรือถึงมีแสงแดดมากระทบแผ่นโซล่าเซลล์ แต่ถ้าแผ่นโซล่าเซลล์นี้เสียหาย ก็จะไม่มีไฟฟ้าเกิดขึ้นมาได้

โดยวิญญาณหรือการรับรู้นี้ก็เหมือนกัน คือมันจะต้องอาศัยตากับรูป, อาศัยหูกับเสียง เป็นต้น มากระทบกัน มันจึงจะเกิดขึ้นมาได้ ถ้าขาดสิ่งใดไป มันก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้ แต่ที่สำคัญก็คือ วิญญาณนี้มันไม่ได้เป็นวิญญาณเฉพาะของใครๆ เพราะมันก็เป็นแค่เพียงสิ่งธรรมดาๆตามธรรมชาติเหมือนธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ที่ต้องมีเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่ง มันจึงจะเกิดขึ้นมาได้ ถ้าไม่มีเหตุหรือปัจจัยมันก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้ หรือที่เกิดขึ้นมาแล้วก็จะดับหายไปทันที

 แต่เราต้องระวังอย่าเข้าใจผิดว่า วิญญาณนี้ หมายถึง ผี หรือวิญญาณที่เป็นอัตตา ที่เป็นตัวตนอมตะที่มาสิ่งอยู่ในร่างกายที่ยังไม่ตาย และสามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วเพื่อไปเกิดยังร่างกายใหม่ๆได้เรื่อยไปตามที่ศาสนาพราหมณ์สอน ซึ่งปัจจุบันชาวพุทธเกือบทั้งหมดจะเข้าใจว่าวิญญาณเป็นอัตตาที่เวียนว่ายตายเกิดได้ ซึ่งนี่นับเป็นความเห็นผิดจากคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก เพราะวิญญาณที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นหมายถึง การรับรู้ที่เกิดขึ้นที่ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย,ใจ ของเรา แล้วก็ดับหายไปเป็นครั้งคราว สลับไปสลับมาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลาที่เรารู้สึกตัวอยู่

โดยวิญญาณหรือการรับรู้นี้เองที่เป็นพื้นฐานมาปรุงแต่งให้เกิดสัญญา, เวทนา, สังขาร อันเป็นขันธ์หรือส่วนประกอบของจิตใจของเราขึ้นมา ถ้าไม่มีวิญญาณเสียอย่างเดียวก็จะไม่มีจิตใจ และถ้าไม่มีร่างกายก็จะไม่มีอายตนะภายใน เมื่อไม่มีอายตนะภายในก็จะไม่มีวิญญาณ เมื่อไม่มีวิญญาณก็จะไม่จิตใจ ซึ่งมันก็เป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตานั่นเอง

ขันธ์ ๕ คืออะไร?

คำว่า ขันธ์ แปลว่า กลุ่ม, กอง, ส่วน คือชีวิต (หรือร่างกายและจิตใจ) ของเราทุกคนนี้ ประกอบขึ้นมาจากส่วน ๕ ส่วน ที่เรียกว่า ขันธ์ ๕ อันได้แก่

๑. รูป คือ ส่วนที่เป็นวัตถุที่สัมผัสได้ด้วย ตา, หู, จมูก, ลิ้น, และกาย โดยสิ่งเป็นรูปก็คืออวัยวะทั้งหมดที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นร่างกายของเรา ซึ่งอวัยวะทั้งหมดนี้สรุปแล้วก็เกิดมาจาก ธาตุทางวัตถุ ๔ อย่าง คือ ธาตุดิน (คือของแข็ง), ธาตุน้ำ (คือของเหลว), ธาตุไฟ (คือความร้อน), และ ธาตุลม (คือก๊าซ)

๒. วิญญาณ คือ การรับรู้ ที่เกิดขึ้นจากการที่ระบบประสาท ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, และใจ ได้สัมผัสกับสิ่งหรืออธรรมชาติที่ตรงกัน อันได้แก่ รูป, เสียง, กลิ่น, รส, สิ่งสัมผัสกาย (เช่น เย็น ร้อน อ่อน แข็งฯ), สิ่งสัมผัสใจ (คือ การรับรู้, การจำได้, ความรู้สึก, การคิดนึกปรุงแต่งของจิต) อย่างเช่น เมื่อรูปมาสัมผัสตา ก็จะเกิดการรับรู้รูป (หรือเกิดการเห็นรูป) ขึ้นมาทันที หรือเมื่อมีเสียงมาสัมผัสหู ก็จะเกิดการรับรู้เสียง (หรือการได้ยินเสียง) ขึ้นมาทันที เป็นต้น (ซึ่งวิญญาณนี้นักวิทยาศาสตร์บอกว่ามันก็คือไฟฟ้าอ่อนๆที่ร่างกายที่ยังไม่ตายสร้างขึ้นมา)

๓. สัญญา คือ การจำสิ่งที่รับรู้ได้ คือเมื่อเกิดการรับรู้ที่ระบบประสาทใดขึ้นมาแล้ว ก็จะเกิดการจำสิ่งที่รับรู้อยู่นั้นขึ้นมาด้วยทันที อย่างเช่น จำรูปที่กำลังเห็นอยู่นั้นว่ารูปของใครหรืออะไร หรือจำได้ว่าเสียงที่ได้ยินอยู่นั้นเป็นเสียงของอะไรและมีความหมายอย่างไร เป็นต้น (ซึ่งสัญญานี้นักวิทยาศาสตร์บอกว่า มันเป็นข้อมูลที่เนื้อสมองของร่างกายบันทึกเอาไว้)

๔. เวทนา คือ ความรู้สึก คือเมื่อเกิดการจำสิ่งที่รับรู้ใดขึ้นมาแล้ว ก็จะเกิดความรู้สึกต่อสิ่งที่จำได้นั้นขึ้นมาด้วยทันที ซึ่งเวทนานี้ก็สรุปได้ ๓ อย่าง คือ ๑) สุขเวทนา คือความรู้สึกที่น่าพึงพอใจ หรือความรู้สึกที่ทนได้ง่าย หรือความสุข ๒) ทุกขเวทนา คือความรู้สึกที่ไม่น่าพึงพอใจ หรือความรู้สึกที่ทนได้ยาก (โดยความทุกข์ในอริยสัจ ๔ หมายถึง ทุกขเวทนาทางใจที่รุนแรง ที่เกิดจากกิเลส)  ๓) อทุกขมสุขเวทนา คือความรู้สึกที่ไม่ใช่ทั้งสุขเวทนาและทุกขเวทนา คือเป็นเวทนาจืดๆที่อยู่ระหว่างเวทนาทั้งสอง 

โดยตัวอย่างของการเกิดเวทนาก็ได้แก่ เมื่อตาได้เห็นรูปที่สวยงามและจำได้ว่าเป็นรูปอะไร ก็จะทำให้เกิดสุขเวทนาทางตา (หรือความสุขทางตา) ขึ้นมาทันที หรือเมื่อหูได้ยินเสียงที่มีคนมาด่าเรา แล้วเราก็จำได้ว่าเป็นเสียงของใครและด่าเราเรื่องอะไร ก็จะทำให้เกิดทุกขเวทนาทางตาขึ้นมาทันที เป็นต้น (ซึ่งเวทนานี้นักวิทยาศาสตร์บอกว่ามันก็คือสารเคมีชนิดต่างๆที่สมองสร้างขึ้นมาขณะที่มันทำงานอยู่)

๕. สังขาร คือ การปรุงแต่งหรืออาการของจิต คือเมื่อเกิดเวทนาใดขึ้นมาแล้ว เมื่อจิตไม่มีสติปัญญา จิตก็จะเกิดอาการต่อเวทนาขึ้นมาด้วยทันที คืออาการพึงพอใจหรืออยากได้สุขเวทนา, ไม่พึงพอใจหรือไม่อยากได้ทุกขเวทนา, และลังเลใจต่ออทุกขมสุขเวทนา ซึ่งอาการต่อเวทนานี้เองที่เรียกว่า กิเลส หรือ ตัณหา ที่ทำให้จิตใจของเราเกิดความทุกข์ (หรือความเศร้าโศก) ตามหลักอริยสัจ ๔ ขึ้นมา (ซึ่งสมองของคนเรานี้ นักวิทยาศาสตร์บอกว่ามันทำงานเหมือนคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋วจำนวน “แสนล้านเครื่อง” ที่ทำงานร่วมกันอยู่ ซึ่งการปรุงแต่งของจิตก็คือการทำงานหรือประมวลผลของสมองนั่นเอง)

ขันธ์ทั้ง ๕ นี้ย่อลงเป็น ร่างกาย กับ จิตใจ ซึ่งคำว่า จิตใจ หมายถึง สิ่งรู้สึกนึกคิดได้ (คือเมื่อมันทำหน้าที่คิดนึกก็เรียกว่า จิต แต่เมื่อมันทำหน้าที่รับรูและรู้สึก ก็เรียกว่า ใจ ซึ่งเราก็มักจะเรียกรวมกันว่าจิตใจ) โดยร่างกายก็คือ “รูป” ส่วนจิตใจก็คือ “วิญญาณ, สัญญา, เวทนา, สังขาร” ซึ่งร่างกายกับจิตใจนี้มันต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่ จะแยกกันไม่ได้ ถ้าแยกกันเมื่อใด ก็จะทำให้ทั้งคู่แตกสลาย (คือร่างกาย) และดับหายไป (คือจิตใจ) ด้วยกันทั้งคู่ทันที

ในขันธ์ ๕ มันมีตัวเราอยู่จริงหรือไม่?

เมื่อเรานำขันธ์ทั้ง ๕ มาพิจารณาถึงเหตุที่มาปรุงแต่งให้เกิดแต่ละขันธ์ขึ้นมา เราก็จะพบความจริงว่า แต่ละขันธ์ล้วนต้องอาศัยขันธ์อื่นมาเป็นเหตุทำให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น คือ “สังขาร” ก็ต้องอาศัย “เวทนา” มาเป็นเหตุทำให้เกิดขึ้น ส่วน “เวทนา” ก็ต้องอาศัย “สัญญา” มาเป็นเหตุทำให้เกิดขึ้น ส่วน “สัญญา” ก็ต้องอาศัย “วิญญาณ” มาเป็นเหตุทำให้เกิดขึ้น ส่วน “วิญญาณ” ก็ต้องอาศัย “รูป” (คือร่างกายที่ยังไม่ตายและมี ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ ที่กำลังทำงานอยู่) มาเป็นเหตุให้เกิดขึ้น, และ “รูป” ก็ต้องอาศัย “ธาตุทางวัตถุทั้ง ๔” มาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น ซึ่งนี่ก็แสดงถึงความจริงว่า ทั้งร่างกายและจิตใจ ที่สมมติเรียกว่าเป็น “ตัวเรา-ของเรา” นี้ มันเป็น “อนัตตา” (คือไม่ใช่อัตตา) และเป็น “สุญญตา” (คือว่างจากอัตตา)

อีกอย่างเมื่อเรานำเอา ร่างกายของเรามาพิจารณาอย่างละเอียด เราก็จะพบความจริงว่า ร่างกายเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ต้องแก่และตายอย่างแน่นอน ซึ่งนี่ก็แสดงถึงความจริงว่า ร่างกายเป็นอนิจจัง (คือไม่เที่ยง) รวมทั้งจิตใจก็มี การเกิดขึ้นเมื่อร่างกายตื่น แต่พอร่างกายหลับ จิตใจก็จะดับหายไปทันที (ชั่วคราว) แต่ถ้าร่างกายตาย จิตก็จะดับหายไปอย่างถาวร ซึ่งนี่ก็แสดงถึงความจริงว่า จิตใจของเรานี้มันเป็น “อนิจจัง” (คือไม่เที่ยง)

อีกอย่าง เมื่อร่างกายยังตั้งอยู่ มันก็ยังมีภาวะที่ต้องทนอยู่อย่างยากลำบากตลอดเวลา เช่น ต้องทนต่อความหิว ความกระหาย ความร้อน ความหนาว ความเจ็บ ความป่วย และการถูกสิ่งภายนอกมากมายมาทำร้าย เป็นต้น รวมทั้งยังต้องทนต่อการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายเองด้วย ซึ่งนี่ก็แสดงถึงภาวะทุกขังร่างกาย รวมทั้งจิตใจในแต่ละวันเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว มันก็จะมีความรู้สึกทนได้ยากหรือทนได้ลำบากอยู่ตลอดเวลา และเมื่อภาวะทุกขังของจิตนี้มีมากๆ มันก็จะต้องพักผ่อน (คือดับ) เพื่อลดความรู้สึกที่ทนได้ยากนี้ให้ลดน้อยลง ซึ่งนี่ก็แสดงถึงความจริงว่า จิตใจมีภาวะของทุกขัง

สรุปได้ว่าใน ขันธ์ ๕ คือในร่างกายและจิตใจ ที่สมมติเรียกว่าเป็น “ตัวเรา” นี้ มันไม่ได้มีตัวเราอยู่จริงๆเลย (คือมันเป็นสุญญตา) มีแต่ “ตัวเราชั่วคราว” หรือ “ตัวเรามายา” หรือ “ตัวเราสมมติ” เท่านั้น ซึ่งความเข้าใจนี้เองที่เป็นหัวใจของปัญญา สำหรับนำมาปฏิบัติร่วมกับสมาธิเพื่อดับทุกข์ (โดยมีศีลเป็นพื้นฐาน) ตามหลักอริยสัจ ๔ ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้

เราคืออะไร?

แต่ก็อาจจะมีคำถามว่า แล้วจิตใจมันมีความรู้สึกว่ามีตัวเราได้อย่างไร? ซึ่งคำตอบก็คือ มันก็เป็นของมันเองตามธรรมชาติ คือจิตมันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่เมื่อมันถูกปรุงแต่งหรือทำให้เกิดขึ้นมาแล้ว มันก็จะมีความรู้สึกตัวว่ามีตนเองอ่อนๆอยู่ด้วยเสมอ ซึ่งความรู้สึกตัวว่ามีตนเองนี้ ทางพุทธศาสนาเรียกว่า “อวิชชา” ที่หมายถึง สัญชาตญานแห่งตัวตน ซึ่งสัญชาตญาณแห่งตัวตนนี้ก็คือ “ความรู้สึกตัวว่ามีตนเอง” (คือเมื่อมาดูที่ชีวิตของเราก็หมายถึง “ความรู้สึกตัวว่ามีตัวเรา”)

โดยคำว่า สัญชาตญาณ หมายถึง ความรู้ที่เกิดขึ้นพร้อมกับจิตโดยไม่มีใครสอน คือจิตของเด็กทุกคนที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ๆ จะยังมีความบริสุทธิ์ (คือยังไม่มีกิเลสและความยึดถือว่ามีตนเอง) อยู่แล้วตามธรรมชาติ ซึ่งจิตที่บริสุทธิ์นี้จะมีสัญชาตญาณแห่งตัวตน หรือความรู้สึกตัวว่ามีตนเองอ่อนๆอยู่ด้วย ซึ่งความรู้สึกว่ามีตนเองอ่อนๆนี้จะยังไม่ทำให้จิตเกิดความทุกข์ จนกว่าจิตจะเกิดกิเลสและความยึดถือว่ามีตนเองขึ้นมา จึงจะทำให้จิตเกิดความทุกข์ ซึ่งจิตที่มีความบริสุทธิ์นี้จะมีความสงบเย็น (หรือนิพพาน) อยู่แล้วเป็นพื้นฐาน

 อีกอย่างจิตนั้นไม่มีเพศ แต่เมื่อจิตมันถูกปรุงแต่งขึ้นมาจากร่างกาย มันก็จะถูกฮอร์โมนของร่างกายปรุงแต่งให้มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงขึ้นมาในภายหลัง รวมทั้งเมื่อสภาพแวดล้อมของร่างกายเป็นอย่างไร สภาพแวดล้อมนั้นก็จะปรุงแต่งให้เกิดสติปัญญาหรือความโง่รวมทั้งนิสัยของจิตขึ้นมาในภายหลัง ซึ่งนี่เองที่ทำให้คนแต่ละคนเกิดมาไม่เหมือนกัน คือมีร่างกายแตกต่างกัน มีสติปัญญาไม่เท่ากัน มีนิสัยไม่เหมือนกัน และมีความสุขความทุกข์ไม่เหมือนกัน แต่ความไม่เหมือนกันนี้มันเป็นเพียงสิ่งสมมุติ เพราะความจริงแล้วมันก็ไม่ได้มีตัวตนของเราหรือของใครๆหรือของสิ่งใดๆเกิดขึ้นมาจริง คือเท่ากับว่า “ไม่มีใครได้ ไม่มีใครเสีย” ซึ่งนี่ก็คือความยุติธรรมของโลก แต่คนทั่วไปที่ไม่รู้ความจริงนี้จะไม่เข้าใจเรื่องนี้ เขาจึงคิดว่าโลกไม่ยุติธรรม

สรุปได้ว่า เราคือ “สิ่งที่มีชีวิต” ที่มีความรู้สึกตัวว่ามีตัวเรา แล้วก็มาสมมุติเรียกว่า “มนุษย์” (คือผู้มีจิตใจสูง) หรือ “คน” (คือสัตว์ชนิดหนึ่งของโลก) ซึ่งพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาก็จะยังบริสุทธิ์เหมือนกันทุกคน  แต่ได้มาถูกปรุงแต่งให้มีความแตกต่างกันในภายหลัง ดังนั้นจึงเท่ากับว่า แท้จริงแล้วมนุษย์ทุกคนนั้นคือคนๆเดียวกัน คือเป็นแค่เพียงสิ่งที่มีชีวิตที่มีร่างกายและจิตใจที่ถูกปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมาชั่วคราวเหมือนกัน และไม่มีตัวตนเป็นของตนเองเหมือนกัน รวมทั้งต้องทนอยู่อย่างยากลำบากเหมือนกัน ซึ่งแม้สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา ก็มีลักษณะเหมือนกับมนุษย์ด้วยเหมือนกัน ซึ่งเมื่อเราเข้าใจถึงความจริงนี้แล้ว เราก็จะมีความเป็นมิตร (คือไม่เป็นศัตรูกับใครๆ) กับทุกคนอย่างเสมอหน้า และรักเขาเหมือนกับที่เรารักตัวเอง

อริยสัจ ๔ สรุปได้ว่าอย่างไร?

เมื่อเราได้ศึกษาพื้นฐานเรื่อง “อนัตตา” และ “ขันธ์ ๕” มาจนเข้าใจอย่างถูกต้อง โดยใช้หลักวิทยาศาสตร์แล้ว ต่อไปเราก็จะนำความรู้ทั้ง ๒ นี้มาศึกษา อริยสัจ ๔ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องต่อไป

โดย อริยสัจ ๔ นั้นสรุปอยู่ที่ ทุกข์ กับ ไม่ทุกข์ คือ ความทุกข์เกิดจากกิเลส (หรือตัณหา) แต่เมื่อจิตไม่มีกิเลสมันก็จะไม่มีความทุกข์

โดยกิเลสนั้นมันเป็นอาการ “อยากได้สุขเวทนา” (ความรู้สึกที่ทนได้ง่าย) แต่ “ไม่อยากได้ทุกขเวทนา” (ความรู้สึกที่ทนได้ยาก) แต่อาการทั้ง ๒ นี้มันเป็น “ธรรมชาติอันเลวร้าย” ที่เมื่อมันได้สัมผัสกับใจของเราแล้ว มันจะทำให้ใจของเราเกิด “ทุกขเวทนาที่รุนแรงซ้อนขึ้นมาอีกที” ซึ่งทุกขเวทนาที่รุนแรงที่เกิดซ้อนขึ้นมานี้เองที่เรียกว่า “ความทุกข์” โดยเมื่อมี ความอยากได้สุขเวทนา แล้วเกิดทุกขเวทนาที่รุนแรงซ้อนขึ้นมา ก็เรียกว่าเป็น ความทุกข์ซ่อนเร้น แต่ถ้ามี ความไม่อยากได้ทุกขเวทนา ก็จะเกิดทุกขเวทนาที่รุนแรงซ้อนขึ้นมา ก็เรียกว่า ความทุกข์เปิดเผย

โดยต้นเหตุที่ทำให้จิตเกิดกิเลสนั้นสรุปเรียกว่า อวิชชา ที่หมายถึง ความรู้ผิดว่าร่างกายและจิตใจนี้คือตัวเรา โดยความรู้ผิดว่าร่างกายและจิตใจนี้คือตัวเรานี้ มันก็เกิดมาจาก สัญชาตญาณพื้นฐานของทุกจิต ที่ย่อมจะมีความรู้สึกว่ามีตนเอง ซึ่งความรู้สึกว่ามีตนเองนี้เอง ที่มันได้ทำให้จิตเกิด “ความเข้าใจผิดว่าร่างกายและจิตใจนี้คือตัวเรา” ขึ้นมาอีกที ซึ่ง“ความเข้าใจผิดว่าร่างกายและจิตใจนี้คือตัวเรา” นี้เอง ที่มันได้ทำให้จิตเกิด “ความเห็นแก่ตัว” และเมื่อจิตมันเห็นแก่ตัว มันจึงได้ทำอะไรๆก็เพื่อตัวเองเป็นหลัก คือ อยากได้สิ่งที่ทำให้เกิดสุขเวทนาเพื่อตัวเอง และ ไม่อยากได้สิ่งที่ทำให้เกิดทุกขเวทนาเพื่อตัวเอง แล้วทั้งความอยากได้และความไม่อยากได้เพื่อตัวเองหรือตัวเรานี้ ก็ได้ทำให้จิตเกิดความทุกข์ขึ้นมา

ส่วน ปัญญา ก็คือ ความเข้าใจและเห็นแจ้ง ถึงความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สุญญตา ของร่างกายและจิตใจของเรา รวมทั้งของทุกสิ่งที่เราพบเห็นหรือรับรู้ และเมื่อจิตของเรามีสมาธิ (คือไม่มีกิเลสใดๆครอบงำ, มีความเข้มแข็ง, และมีความอ่อนโยน) เราก็น้อมเอาปัญญานั้นมาเพ่งดูที่ ร่างกายและจิตใจของเรา รวมทั้งทุกสิ่งที่เราพบเห็นหรือรับรู้นั้นอย่างตั้งใจ ก็จะทำให้จิตของเราเกิด “นิพพิทา” ที่หมายถึง ความเบื่อหน่ายต่อทั้งสุขเวทนาและทุกขเวทนาด้วย เมื่อจิตเกิดนิพพิทา มันก็จะเกิด “วิราคะ” คือความจางคลายของความกำหนัดหรือความติดใจในสุขเวทนาของทุกสิ่ง และเมื่อจิตเกิด “วิราคะ” มันก็จะจะเกิด “วิมุตติ” คือความที่จิตหลุดพ้นจาก “อุปาทาน” คือความยึดติดในขันธ์ ๕ หรือร่างกายและจิตนี้ว่าเป็นตัวเรา-ของเรา ซึ่งเมื่อจิตไม่มีอุปาทาน มันก็จะไม่มีความทุกข์ และเมื่อจิตไม่มีความทุกข์มันก็จะนิพพานคือสงบเย็นทันที (แม้เพียงชั่วคราว)

สรุปได้ว่า อวิชชาและกิเลส มีหน้าที่ทำให้จิตเกิด อุปาทานและความทุกข์ ส่วน ปัญญาและสมาธิ มีหน้าที่ทำให้จิตเกิด ความหลุดพ้นจาก อุปาทานและความทุกข์ แล้วจิตก็จะนิพพาน (แม้เพียงชั่วคราว) ซึ่งเราจะต้องยึดหลักการนี้เอาไว้ให้ดี เพราะนี่ก็คือการสรุปหลักอริยสัจ ๔ เอาไว้แล้วอย่างครบถ้วน แต่เราก็จำเป็นที่จะต้องมีความรู้เรื่องอวิชชา กิเลส อุปาทาน ความทุกข์ และปัญญาอยู่ก่อนแล้ว รวมทั้งเราก็ต้องเคยฝึกจิตให้มีสมาธิมาบ้างแล้วด้วย โดยเราก็ต้องมีศีลเป็นพื้นฐานอยู่ก่อนแล้วด้วยเสมอ เราจึงจะปฏิบัติให้จิตเกิดความหลุดพ้นจากอุปาทานและความทุกข์ได้

สรุปคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้าได้ว่าอย่างไร?

เคยมีผู้ไปทูลถามพระเจ้าว่า “คำสอนทั้งหมดของพระพุทธองค์นั้น สรุปให้สั้นที่สุดได้ว่าอย่างไร?” ซึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า คำสอนทั้งหมดของพระพุทธองค์นั้น สรุปอยู่ในประโยคที่ว่า “สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดถือว่าเป็นตัวตน-ของตน” ซึ่งคำว่า “สิ่งทั้งปวง” นี้ก็หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เว้นสิ่งใดเลย คือไม่ว่าจะเป็นร่างกายและจิตใจที่สมมติเรียกว่าเป็นตัวเรา-ของเรานี้ รวมทั้งบุคคลหรือสิ่งของทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราด้วย

ส่วนคำว่า “ยึดถือ” ก็มาจากคำว่า อุปาทาน ที่หมายถึง ความผูกพัน ซึ่งเป็นอาการ ที่จิตของเราไปรักหรือพอใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเหนี่ยวแน่นจนถอนตัวไม่ขึ้น ซึ่งความรักหรือความพอใจนี้ก็คือ อาการของกิเลส ที่ทำให้จิตของเราเกิดความทุกข์

โดยสาเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้ไปยึดถือเอาสิ่งใดๆว่าเป็น ตัวเรา-ของเรา ก็เพราะว่า สิ่งทั้งหลายนั้นมันเป็น สิ่งปรุงแต่ง คือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุและปัจจัยนั้นมันเป็น อนัตตา คือไม่ใช่อัตตาหรือตัวตนที่แท้จริง อีกทั้งมันยังเป็น อนิจจัง คือมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สุดท้ายไม่ช้าก็เร็วสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายนั้นก็ต้องดับหายไปอย่างแน่นอน และเมื่อเราไปรักหรือผูกพันกับสิ่งนั้นเข้า เมื่อสิ่งนั้นมันเปลี่ยนแปลงไปเป็น “สิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ” (เช่น แก่ เจ็บ ไม่งดงาม ไม่น่ารักฯ) หรือสิ่งนั้นได้พลัดพรากจากเราไป ก็ย่อมทำให้เกิดความเศร้าโศก (ความเสียใจ) หรือความทุกข์ใจขึ้นมา

สรุปได้ว่าคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้าไว้ในประโยคเดียว ดังนั้นถ้าใครได้รู้คำสอนเพียงเท่านี้ ก็เท่ากับได้รู้จักคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้า ถ้าใครปฏิบัติได้เพียงเท่านี้ ก็เท่ากับได้ปฏิบัติตามคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้า และถ้าใครได้รับผลเพียงเท่านี้ ก็เท่ากับได้รับสิ่งสูงสุดตามที่พระพุทธเจ้าสอนแล้ว

จบภาค ๑

ภาค ๒ หลักพุทธศาสนา

หลักอจินไตย

อจินไตย แปลว่า ไม่ควรนำมาคิด คือหมาย ถึงเรื่องที่ไม่ควรนำมาคิด โดยผู้ที่เริ่มศึกษาอริยสัจ ๔ นั้น พระพุทธเจ้าสอนว่า ไม่ควรนำเรื่องที่เรียกว่าอจินไตยมาศึกษาหรือนำมาคิด ซึ่งเรื่องอจินไตยทั้ง ๔ นั้นก็ได้แก่

๑. พุทธวิสัย คือ เรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หรือพระอริยบุคคลทั้งหลาย คืออย่าไปสนใจนำมาคิดว่ามีอยู่จริงหรือไม่ หรือเป็นอย่างไร? เป็นต้น

๒. ฌานวิสัย คือ เรื่องสมาธิสูงๆ คืออย่าไปสนใจนำมาคิดว่าทำได้จริงหรือไม่? ถ้าทำได้แล้วจะทำให้มีฤทธิ์หรือมีอำนาจวิเศษเหนือคนธรรมดาได้จริงหรือไม่? เป็นต้น

๓. กรรมวิสัย คือ เรื่องกรรมและผลของกรรม คืออย่าไปสนใจว่าเมื่อทำกรรมได้ไว้แล้วจะต้องรับผลกรรมนั้นเมื่อตายไปแล้วจริงหรือไม่? หรือได้รับเมื่อไร? และในรูปแบไหน? เป็นต้น

๔. โลกวิสัย คือ เรื่องโลกๆ คืออย่าไปสนใจเรื่องที่ชาวโลกเขาสนใจกันอยู่ที่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการดับทุกข์ เช่น เรื่องเทคโนโลยี เรื่องการเมือง เรื่องอาชีพการงาน หรือเรื่องความเจริญทางด้านวัตถุ เรื่องบุคคล รวมทั้งเรื่องใครสร้างโลก ตายแล้วไปไหน? เกิดหรือไม่เกิด? ถ้าเกิดแล้วอะไรไปเกิด? เป็นต้น

สาเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามผู้ที่เริ่มต้นศึกษาอริยสัจ ๔ ไม่ให้ไปสนใจศึกษาเรื่องอจินไตยนั้นก็เป็นเพราะ ถ้าใครหลงไปศึกษาแล้วก็จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดหรือเกิดความเห็นผิดจากคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าได้ เพราะเรื่องอจินไตยนี้มันเป็นแค่ความเชื่อตามๆกันมาเท่านั้น และเป็นเรื่องที่ไม่มีหลักฐานมายืนยัน แต่ที่สำคัญก็คือ มันเป็นเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์แก่การศึกษาเรื่องการดับทุกข์เลย ส่วนเรื่องที่ควรสนใจสำหรับผู้เริ่มต้นศึกษานั้นพระพุทธเจ้าสอนว่า ให้สนใจถามว่า ความทุกข์คืออะไร? ความทุกข์เกิดจากอะไร? เมื่อความทุกข์ดับไปแล้วจะเป็นอย่างไร? และวิธีการดับทุกข์เป็นอย่างไร? ซึ่งเมื่อเราได้ศึกษาเรื่องการดับทุกข์นี้จนเกิดปัญญาขึ้นมาแล้ว ก็จะมีคำตอบในเรื่องอจินไตยนี้ขึ้นมาได้เองจนทำให้หมดความสงสัยได้

หลักความเชื่อของพระพุทธเจ้า

ครั้งหนึ่งได้มีผู้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า เมื่อมีเจ้าลัทธิที่สอนเรื่องการดับทุกข์อยู่มากมาย แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าคำสอนของใครเป็นความจริง และคำสอนของใครไม่เป็นความจริง ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสตอบเอาไว้ใน หลักกาลามสูตร (หลักคำสอนที่สอนแก่ชาวกาลามะของอินเดียในยุคนั้น) ซึ่งมีใจความโดยสรุปว่า เมื่อเราได้เรียนรู้คำสอนใดมา ก่อนอื่นก็อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุ ๑๐ ประการ อันได้แก่

๑. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุสักว่า ได้ยินได้ฟังมา

๒. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุสักว่า เป็นเรื่องเล่าต่อๆกันมาตั้งแต่โบราณ

๓. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุสักว่า มีคนกำลังล่ำลือกันอยู่อย่างกระฉ่อน

๔. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุสักว่า มีตำราอ้างอิง

๕. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุสักว่า มีเหตุผลตรงๆ (ตรรกะ) รองรับ

๖. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุสักว่า มีเหตุผลแวดล้อมรองรับ

๗. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุสักว่า สามัญสำนึกของเรามันยอมรับ

๘. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุสักว่า มันตรงกับความเห็นที่เรามีอยู่ก่อนแล้ว

๙. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุสักว่า คนที่บอกนั้นดูภายนอกน่าเชื่อถือ

๑๐. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุสักว่า คนที่สอนนี้เป็นครูอาจารย์ที่เราเคารพนับถือ

เมื่อเราได้พบคำสอนใด ก่อนอื่นก็ให้เรานำคำสอนนั้นมาพิจารณาดูก่อน ว่าคำสอนนั้นมีโทษหรือมีประโยชน์ และผู้รู้ (คือผู้มีปัญญาและมีใจเป็นกลาง) ติเตียนหรือไม่ ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่าคำสอนนั้นมีโทษ ไม่มีประโยชน์ และผู้รู้ติเตียน ก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่า คำสอนนั้นมีประโยชน์ ไม่มีโทษ และผู้รู้ไม่ติเตียน ก็ให้นำมาทดลองปฏิบัติดูก่อน ถ้าปฏิบัติตามอย่างเต็มตามมาตรฐานแล้วความทุกข์ไม่ลดลงหรือดับลงจริง (แม้เพียงชั่วคราว) ก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าทดลองปฏิบัติดูแล้วผลออกมาเป็นความลดลงหรือดับลงของความทุกข์จริง (แม้เพียงชั่วคราว)  ก็ให้ยอมรับเอามาปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้น (คือดับทุกข์ได้อย่างถาวร) ต่อไป

ศีล

คำว่า ศีล แปลว่า ปรกติ คือหมายถึง ความปรกติของจิต ที่เกิดจากการที่เรามีเจตนาที่จะไม่เบียดเบียนชีวิต-ทรัพย์สิน-กามารมณ์ ของผู้อื่น ร่วมทั้งการมีเจตนาที่จะ ไม่พูดโกหก-คำหยาบ-ส่อเสียด-เพ้อเจ้อ ซึ่งศีลนี้จะเป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิ และสมาธิก็จะเป็นพื้นฐานให้เกิดปัญญา แล้วปัญญาก็จะวนกลับมาทำให้เกิดศีลและสมาธิที่ถูกต้องและมีพลังมากขึ้นๆ จนดับทุกข์ได้ (แม้เพียงชั่วคราว) ถ้าขาดศีลก็จะไม่มีสมาธิ เมื่อไม่มีสมาธิก็จะไม่มีปัญญา เมื่อไม่มีปัญญาก็จะดับทุกข์ไม่ได้ ดังนั้นศีลจึงเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญเท่าๆกับสมาธิและปัญญา

สมาธิ

คำว่า สมาธิ แปลว่า ตั้งมั่นอยู่เสมอ ซึ่งสมาธิของมรรคก็คือ จิตที่ตั้งมั่นอยู่ในปัญญาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจิตที่มีสมาธิจะลักษณะ ๓ ประการ คือ บริสุทธิ์จากกิเลสทั้งปวง, มีความเข้มแข็ง (คือไม่มีสิ่งใดจะมายั่วยวนให้เกิดกิเลสใดๆขึ้นมาได้), และ มีความอ่อนโยน (คือมีความเหมาะสมกับการทำงานทุกชนิด)

โดยกิเลสนั้นก็มีทั้ง “กิเลสรุนแรง” กับ “กิเลสอ่อนๆ” ซึ่งกิเลสที่รุนแรงก็คือ โลภะ, โทสะ, โมหะ ส่วนกิเลสอ่อนๆนั้นเรียกว่า นิวรณ์ หมายถึง สิ่งปิดกั้นจิตจากสมาธิและปัญญารวมทั้งนิพพาน ซึ่งอาการของนิวรณ์นั้นมีอยู่ ๕ อาการ อันได้แก่

(๑) กามฉันทะ คือความพึงพอใจเล็กๆน้อยๆในสิ่งที่น่าพึงพอใจ 

(๒) พยาบาท คือความไม่พึงพอใจเล็กๆน้อยๆในสิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ

(๓) อุทธัจจกุกกุจจะ คือความตื่นต้น หรือ ความฟุ้งซ่านน่ารำคาญ

(๔) ถีนมิทธะ คือความหดหู่ เซื่องซึม มึนชา

(๕) วิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัยในสิ่งที่เรานับถืออยู่ (คือความลังเลสงสัยว่าพระพุทธมีจริงหรือไม่?, พระธรรมดับทุกข์ได้จริงหรือไม่, พระอริยสงฆ์มีจริงหรือไม่?)

โดยคำว่า สติ แปลว่า การระลึกได้ คือหมายถึง การที่เรานึกถึงสิ่งใดหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ทันเวลา ซึ่งในความหมายของพุทธศาสนาคำว่า สติ จะหมายถึง การระลึกถึงปัญญาได้ทันเวลา ส่วนคำว่า สมาธิ แปลว่า ตั้งมั่นอยู่เสมอ คือหมายถึง การที่เรามีสติจดจ่อหรือจับอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ตลอดเวลาได้นานๆ ซึ่งในทางพุทธศาสนา คำว่า สมาธิ จะหมายถึง จิตที่ตั้งมั่นอยู่ในปัญญาตลอดเวลา แต่เราต้องเข้าใจว่า สมาธินี้มีอยู่ ๒ อย่าง คือ สมาธิผิด กับ สมาธิถูก

โดยสมาธิผิดก็คือ การที่จิตของเราไปจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำให้เกิดกิเลสหรือนิวรณ์ เช่น จดจ่ออยู่กับเรื่องกามารมณ์ หรือจดจ่ออยู่กับเรื่องความโกรธ หรือจดจ่ออยู่กับเรื่องงมงาย (สิ่งที่เชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์) เป็นต้น ซึ่งผลของสมาธิผิดก็จะเป็นไปตามอำนาจของกิเลสและนิวรณ์ คือ ความเร่าร้อนใจ, ความหนัก-เหนื่อยใจ, ความเครียด, ความไม่สบายใจ, ความไม่ปรกติ, ความไม่สงบเย็น เป็นต้น

ส่วนสมาธิถูกก็คือ การที่จิตไปจดจ่ออยู่กับสิ่งที่บริสุทธิ์ (คือไม่ทำให้เกิดกิเลสและนิวรณ์) และทำให้เกิดปัญญา เช่น การพิจารณาธรรมะ (คือคำสอนของพระพุทธเจ้า เช่น อริยสัจ ๔, กฏไตรลักษณ์, ขันธ์ ๕ ฯ), การกำหนดรู้การเกิดและดับของการหายใจ, การกำหนดรู้การเกิดและดับของสิ่งที่กำลังสัมผัสจิตอยู่, การกำหนดรู้สิ่งที่กำลังเกิดอยู่กับจิต เป็นต้น ซึ่งปกติแล้วเราก็พอจะมีสมาธิกันอยู่บ้างแล้ว อย่างเช่น เวลาที่นักเรียนตั้งใจฟังครูสอน หรือตั้งใจอ่านหนังสือ หรือตั้งใจทำการบ้าน หรือเวลาที่เราตั้งใจทำงาน หรือตั้งใจคิด หรือตั้งใจพูด เป็นต้น ก็ทำให้จิตเกิดสมาธิขึ้นมาแล้ว แต่สมาธินี้อาจจะยังไม่สูงพอเท่านั้น ดังนั้นถ้าเราจะได้มีการฝึกอีกสักหน่อยเราก็จะมีสมาธิที่สูงขึ้นได้

โดยเคล็ดลับในการฝึกให้เกิดสมาธิตามที่พระพุทธเจ้าสอนก็คือ "ให้เราตั้งใจคิดพิจารณาธรรมะของพระพุทธเจ้าให้เป็นคำพูดด้วยประโยคสั้นๆขณะที่เรากำลังหายใจออกอย่างช้าๆ แต่เมื่อเวลาเราหายใจเข้าก็ให้หยุดคิดและให้มาดูว่าจิตกำลังไปคิดถึงเรื่องอื่นหรือเปล่า ถ้ารู้ตัวว่าจิตเผลอไปคิดถึงเรื่องอื่นก็ให้หยุดคิดทันที แล้วกลับมาคิดเรื่องธรรมะใหม่" คือเราต้องมีสติระลึกถึงการหายใจของเราควบคู่ไปกับการคิดพิจารณาธรรมะไปด้วยพร้อมๆกันอยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้จิตเกิดนิวรณ์ขึ้นมา ซึ่งวิธีนี้จะทำให้จิตเกิดทั้งปัญญาและสมาธิขึ้นมาพร้อมๆกันได้อย่างรวดเร็ว  

โดยผลจากการมีสมาธิถูกก็คือ การที่กิเลสและนิวรณ์ได้ระงับหรือดับหายไป (ชั่วคราว), มีความสุขที่สงบประณีตอย่างยิ่ง, การมีสติสมบูรณ์, การมีความจำดี, มีความสงบเย็น (นิพพาน), และมีการเห็น (คือความเข้าใจ) โลกตามความเป็นจริง (หมายเหตุ ถ้าพบคำว่า สมาธิ ในพุทธศาสนา ก็ขอให้เข้าใจว่าหมายถึงสมาธิถูก)

สรุปได้ว่า สมาธิในอริยมรรคนั้นก็หมายถึง จิตที่ตั้งมั่นอยู่ในปัญญาตลอดเวลา คือถ้าเรากำลังตั้งใจพิจารณาเรื่องความเป็นอนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา, สุญญตา ในขันธ์ ๕ อยู่นั้นอย่างจริงจัง จิตก็จะจดจ่ออยู่กับการพิจารณานั้น ซึ่งขณะนี้กิเลสและนิวรณ์ก็จะไม่เกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วก็จะระงับหรือดับหายไปทันที (แม้เพียงชั่วคราว) และเมื่อเราตั้งใจพิจารณาได้อย่างต่อเนื่องนานๆ (หลายๆนาที) จิตก็จะมีความตั้งมั่นมากขึ้น เมื่อจิตมีความตั้งมั่นมากขึ้น ก็แสดงว่าจิตมีสมาธิขั้นสูงที่เรียกว่า "ฌาน" ขึ้นมาแล้ว ซึ่งฌานนี้ก็คือสมาธิในอริยมรรคนั่นเอง

ฌาน

โดยจิตที่มีสมาธิสูงๆนี้ เรียกว่า ฌาน ที่แปลว่า การเพ่ง หรือ ระดับการเพ่ง ซึ่งระดับของฌานที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ในอริยมรรคนั้นมีอยู่ ๔ ระดับ (สมาธิที่สูงกว่านี้ก็มีอยู่ แต่ไม่จำเป็น)  อันได้แก่

ฌานที่ ๑ มีองค์ประกอบคือ วิตก (การที่จิตจดจ่ออยู่กับปัญญา), วิจาร (การที่จิตซึมซาบเคล้าเคลียอยู่กับปัญญา), ปีติ (ความอิ่มเอมใจหรือความตื่นเต้นยินดีจากการที่เอาชนะนิวรณ์ได้), สุข (ความสุขสงบประณีต), เอกัคคตา (การที่องค์ประกอบทั้งหมดรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว)

ฌานที่ ๒ มีองค์ประกอบคือ ปีติ, สุข, เอกัคคตา

ฌานที่ ๓ มีองค์ประกอบคือ สุข, เอกัคคตา

ฌานที่ ๔ มีองค์ประกอบคือ อุเบกขา, เอกัคคตา

เมื่อเราตั้งใจพิจารณาร่างกายกับจิตใจถึงความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สุญญตา อย่างจริงจัง ก็จะทำให้นิวรณ์อ่อนแรงลงเรื่อยๆ และเมื่อนิวรณ์อ่อนแรงลงมาก ก็จะทำให้เกิดปีติและความสุขสงบขึ้นมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว ก็เรียกว่าบรรลุฌานที่ ๑

เมื่อจิตอยู่ในฌานที่ ๑ นานๆ ก็จะทำให้วิตกและวิจารหายไป เพราะชำนาญแล้ว จึงเหลือเพียงปีติกับสุขสงบเท่านั้น ก็เรียกว่าบรรลุฌานที่ ๒

เมื่ออยู่ฌานที่ ๒ นานๆ ปีติก็จะหายไปเพราะไม่ตื่นเต้นแล้ว จึงคงมีเพียงสุขสงบเท่านั้น ก็เรียกว่าบรรลุฌานที่ ๓

เมื่ออยู่ในฌานที่ ๓ นานๆ สุขสงบก็จะหายไป เพราะมันจิตมันเบื่อแล้ว จึงเหลือเพียงอุเบกขา (คือความรู้สึกกลางๆระหว่างสุขเวทนากับทุกขเวทนา) เท่านั้น ก็เรียกว่าจิตบรรลุฌานที่ ๔ แล้ว ซึ่งในฌานที่ ๔ นี้เองที่จิตจะบริสุทธิ์ที่สุด (คือนิวรณ์ดับสนิท) และนิพพานสูงสุดก็จะปรากฏกับจิตได้ (เราจะไม่ใช้คำว่า "เกิด" กับนิพพาน เพราะนิพพานไม่มีการเกิด แต่จะใช้คำว่า ปรากฏ ที่หมายถึง นิพพานมันมีอยู่แล้วตลอดเวลา แต่จิตได้ถูกกิเลสปิดบังไว้ไม่ให้จิตได้สัมผัส เมื่อกิเลสดับหายไป จิตก็จะสามารถกลับมาสัมผัสกับนิพพานได้อีกเรื่อยไป)

สรุปได้ว่า การปฏิบัติสมาธิตามหลักอริยมรรคนั้น เพียงแค่เราตั้งใจพิจารณาธรรมะก็ทำให้เกิดสมาธิขั้นสูงขึ้นมาได้แล้ว ซึ่งการปฏิบัติอริยมรรคนี้ เราสามารถปฏิบัติในขณะที่เรากำลังทำกิจวัตรประจำวันของเราอยู่ก็ได้ หรือทำในขณะที่กำลังเรียนหนังสือหรืออ่านหนังสือหรือทำการบ้านของนักเรียนก็ได้ หรือในขณะที่เรากำลังทำหน้าที่การงานที่สุจริตของเราก็ได้ โดยสิ่งที่จะเป็นเครื่องชี้วัดว่าการปฏิบัติของเราถูกต้องหรือไม่ก็คือ "ความทุกข์" คือถ้าเราปฏิบัติแล้วความทุกข์ไม่ดับลงหรือไม่ลดลง (แม้เพียงชั่วคราว) ก็แสดงว่าเราปฏิบัติผิด แต่ถ้าเราปฏิบัติแล้วความทุกข์ดับลงหรือลดลงจริง (แม้เพียงชั่วคราว) ก็แสดงว่าเราปฏิบัติถูก แต่ที่สำคัญก็คือ การที่เราจะมีสมาธิได้ เราจะต้องมีศีลเป็นพื้นฐานอยู่ก่อนแล้วตลอดเวลา ถ้าขาดศีล จิตก็จะไม่สามารถมีสมาธิได้

พระพระอริยบุคคล

คนในโลกนี้แยกได้ ๒ ประเภท คือ ปุถุชน กับ อริยชน โดยปุถุชนนั้นก็คือคนที่ยังมีกิเลสอยู่ในจิตใต้สำนึกอย่างหนานแน่น ซึ่งปุถุชนนี้ก็ยังมีทั้ง ปุถุชนดี (คือคนดีที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น) และ ปุถุชนเลว (คือคนชั่วที่ชอบเบียดเบียนผู้อื่น) ส่วนอริยบุคคลนั้นก็คือคนที่มีกิเลสน้อยหรือไม่มีเลยอยู่ในจิตใต้สำนึก

ส่วนการที่ปุถุชนเลวจะเปลี่ยนมาเป็นปุถุชนดีได้นั้น ถ้าเป็นคนไม่ฉลาดก็อาจจะใช้วิธีการสอนให้มีความเชื่อในคำสอนของศาสนาว่า "ถ้าทำดีตายไปก็จะได้ขึ้นสวรรค์ แต่ถ้าทำความชั่วตายไปก็จะตกนรก" ก็ได้ เพื่อให้เขาเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่ถ้าเป็นคนฉลาดหน่อยก็อาจจะใช้วิธีการสอนด้วยเหตุด้วยผลตามหลักวิทยาศาสตร์ว่า "ถ้าทำความดี ก็จะทำให้จิตใจมีความสุข แต่ถ้าทำความชั่วก็จะทำให้จิตใจมีความทุกข์" เพื่อให้เขาเป็นคนดีมีศีลธรรม

แต่การที่จะทำให้ ปุถุชนดีหรือคนดี เปลี่ยนมาเป็น อริยบุคคล หรือ พระอริยบุคคล ได้นั้น จะต้องสอนให้มีดวงตาเห็นธรรมเท่านั้น ส่วนคนชั่วจะสอนให้เป็นพระอริยบุคคลไม่ได้เพราะขาดศีลเป็นพื้นฐาน

โดยพระอริยบุคคลในพุทธศาสนานั้นมีอยู่ ๔ ประเภท คือ พระโสดาบัน, พระสกิทาคามี, พระอนาคามี, และพระอรหันต์ ซึ่งพระอริยบุคคลแต่ละประเภทนั้นจะมีความแตกต่างกันตรงที่ สามารถตัดหรือทำลาย สังโยชน์ ที่หมายถึงเครื่องผูกจิตไว้ในความทุกข์ ที่มีอยู่ ๑๐ ประการ ได้มากน้อยต่างกัน โดยสังโยชน์ทั้ง ๑๐ นั้นก็ได้แก่

๑. สักกายทิฏฐิ คือความเห็นผิดว่าร่างกายกับจิตใจของตนเองเป็นอัตตา

๒. วิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัยในพระพุทธเจ้าว่ามีอยู่จริงหรือไม่?, ในพระธรรมว่าดับทุกข์ได้จริงหรือไม?, และในพระสงฆ์ที่ปฏิบัติตามพระธรรมแล้วดับทุกข์ได้จริงนั้นมีอยู่หรือไม่?

๓. ลีลพพตปรามาส คือการปฏิบัติที่ผิดจุดมุ่งหมาย หรือการปฏิบัติที่งมงาย

๔. กามราคะ ความติดใจในความสุขกามารมณ์

๕. ปฏิฆะ ความขัดเคืองใจ (โทสะ)

๖. รูปราคะ ความติดใจในความสุขจากวัตถุสิ่งของ

๗. อรูปราคะ ความติดใจในความสุขจากชื่อเสียงเกียรติยศ

๘. มานะ ความถือตัวว่า เสมอเขาบ้าง ดีกว่าเขาบ้าง ต่ำกว่าเขาบ้าง

๙. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านเล็กๆน้อยๆ

๑๐. อวิชชา ความรู้ผิดที่เป็นสัญชาตญาณว่าจิตนี้คือตัวเรา

โดย พระโสดาบัน ที่หมายถึง ผู้เริ่มก้าวเท้าเข้าสู่นิพพาน หรือผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรมแล้ว ซึ่งพระโสดาบันจะละสังโยชน์หยาบๆ ๓ ตัวแรกที่เป็นเพียง "ความเห็นผิดเบื้องต้น" ได้แล้ว ซึ่งพระโสดาบันนี้จะยังเผลอสติจนเกิดกิเลสและความทุกข์ขึ้นมาได้อีกบ่อยๆในชีวิตประจำวัน แต่ในการเกิดแต่ละครั้งจะเกิดอยู่ไม่นานก็จะนิพพาน (คือสงบเย็น)  ซึ่งพระโสดาบันนี้ท่านก็ยังสามารถครองเรือนได้

ส่วน พระสกิทาคามี หมายถึง ผู้ที่จะยังเกิดความทุกข์ขึ้นมาเพียงครั้งเดียวก็จะนิพพาน ซึ่งท่านก็ละสังโยชน์หยาบๆ ๓ ตัวแรกได้เท่าพระโสดาบัน เพียงแต่ท่านสามารถดับทุกข์ได้เร็วกว่าพระโสดาบันเท่านั้น

ส่วน พระอนาคามี หมายถึง ผู้ไม่มีเรือน คือท่านสามารถละสังโยชน์ได้ ๕ ตัว ซึ่งท่านจะมีความทุกข์เบาบางลงแล้ว และท่านจะไม่ยินดีในความสุขจากกามารมณ์อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นท่านจึงมักจะเป็นนักบวช หรือไม่ก็เป็นคนธรรมดาที่ชอบอยู่เงียบๆคนเดียว

ส่วน พระอรหันต์ หมายถึง ผู้บริสุทธิ์จากกิเลสอย่างสิ้นเชิง คือท่านสามารถละสังโยชน์ได้หมดทั้ง ๑๐ ตัว และท่านก็จะไม่มีความทุกข์ใดๆอย่างถาวร และนิพพานอย่างสูงสุดและถาวร (คือตลอดชีวิต)

สรุปได้ว่า พระอริยบุคคลก็คือคนที่มีกิเลสน้อยหรือไม่มีกิเลสเลยอยู่ในจิตใต้สำนึก รวมทั้งท่านก็จะมีความทุกข์น้อยหรือไม่มีเลยจนตลอดชีวิต ซึ่งสภาวะของความเป็นพระอริยบุคคลนี้ แม้ผู้ที่ไม่ได้บวชก็สามารถเป็นได้ โดยการศึกษาและปฏิบัติตามหลักอริยมรรคที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ จนเกิดดวงตาเห็นธรรม แล้วมีการปฏิบัติอย่างจริงจังต่อไป จนทำลายสังโยชน์ได้ตามลำดับ ซึ่งการเป็นพระอริยบุคคลทุกระดับนี้เป็นเรื่องของจิตใจเฉพาะตัว ไม่สามารถบอกให้คนอื่นเห็นแจ้งตามได้ ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงสอนว่า เรื่องความเป็นพระอริยบุคคลนี้เป็นเรื่องอจินไตย คือไม่ควรนำมาคิดหาเหตุผล หรือคิดเพื่อให้รู้รายละเอียดว่าเป็นอย่างไร เพราะเป็นเรื่องที่เราจะต้องปฏิบัติจนบรรลุถึงความเป็นอริยะด้วยตนเองเท่านั้น จึงจะเห็นแจ้งได้ด้วยตนเอง       

กรรมที่พระพุทธเจ้าสอน

คำว่า กรรม แปลว่า การกระทำด้วยเจตนา (หรือความจงใจ) ซึ่งเจตนาก็คือ "กิเลส" และมีผลเรียกว่า วิบาก (ถ้าการกระทำใดไม่มีเจตนา จะไม่เรียกว่าเป็นกรรม แต่จะเรียกว่า "กิริยา" ซึ่งผลของกิริยาเรียกว่า "ปฏิกิริยา" อย่างเช่น เมื่อเราเดินไปเหยียบมดตายโดยไม่เจตนา ก็เรียกว่าเป็นกิริยา และมีปฏิกิริยาคือ มดตาย เท่านั้น)

โดยกิเลสนี้ก็มีทั้ง "กิเลสฝ่ายชั่ว" (คือการมีเจตนาที่จะเบียดเบียนผู้อื่น) และ "กิเลสฝ่ายดี" (คือการมีเจตนาที่จะช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน) จึงทำให้เกิดกรรมขึ้นมา ๒ อย่าง คือ กรรมชั่ว กับ กรรมดี อีกทั้งกรรมหรือเจตนาของจิตนี้ จะเริ่มต้นเกิดขึ้นที่จิตก่อน แต่เมื่อจิตสั่งให้ร่างกายทำ หรือสั่งให้ปากพูด  จึงทำให้เกิด "กรรมชั่ว" และ "กรรมดี" ขึ้นมาได้ ๓ ทาง อันได้แก่

กรรมชั่วทางกาย ก็ได้แก่ การการเบียดเบียนชีวิต ทรัพย์สิน และกามารมณ์ (สิ่งของที่น่ารักน่าใคร่) ของผู้อื่น, การลุ่มหลงอบายมุข-สิ่งเสพติด-สิ่งฟุ่มเฟือย

กรรมชั่วทางวาจา ก็ได้แก่ การพูดโกหก, การพูดคำหยาบ, การพูดคำส่อเสียดยุยงให้แตกกัน และการพูดเพ้อเจ้อ

กรรมชั่วทางใจ ก็ได้แก่ การคิดเพ่งเล็งอยากได้สิ่งของๆผู้อื่นมาเป็นของเรา, การคิดอาฆาตพยาบาทหรือการคิดจะทำร้ายผู้อื่น, และการมีความเห็นผิดจากความเป็นจริง (คือเห็นว่าทำดีได้ชั่ว แต่พอทำชั่วกลับได้ดี)

ส่วนกรรมดีทางกายก็ได้แก่ การช่วยเหลือผู้อื่นให้หลุดพ้นจากความทุกข์-ความเดือดร้อน, การทำหน้าที่ของเราอย่างถูกต้องสมบูรณ์, การใช้ชีวิตที่เรียบง่าย, การละเว้นอบายมุข-สิ่งเสพติด-สิ่งฟุ่มเฟือย

ส่วนกรรมดีทางวาจาก็ได้แก่ การพูดแต่คำจริง (คือไม่พูดโกหก), พูดคำที่ไพเราะน่าฟัง, พูดคำที่ทำให้เกิดความสามัคคี, พูดคำที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น

ส่วนกรรมดีทางใจก็ได้แก่ การคิดช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน, การคิดให้อภัย, การมีความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง (คือเห็นว่าทำดี-ดี, ทำชั่ว-ชั่ว)

โดยผลของกรรมเรียกว่า วิบาก ซึ่งวิบากนี้ก็เป็นไปตามเจตนา คือ เมื่อทำกรรมชั่ว ก็จะเกิดวิบากชั่วหรือผลชั่วหรือไม่ดีแก่จิตใจ อันได้แก่ ความร้อนใจ หรือความทุกข์ใจ ความแห้งเหี่ยวใจ ความคับแค้นใจ หรือความไม่สบายใจทุกระดับ ส่วนการทำกรรมดี ก็จะเกิดวิบากดีหรือผลดีแก่จิตใจ คือความสุขใจ อิ่มใจ ความภาคภูมิใจฯ

ส่วนช่วงเวลาที่วิบากหรือผลของกรรมจะเกิดขึ้นนั้น ก็มีอยู่ ๓ ช่วง อันได้แก่

๑. ทันที คือ เกิดขึ้นขณะที่เรากำลังทำกรรมใดๆอยู่

๒. ต่อมา คือ เกิดขึ้นเมื่อเราได้ทำกรรมใดๆเสร็จแล้ว

๓. ต่อมาอีก คือ เมื่อเราได้ระลึกถึงกรรมที่เราได้เคยทำไว้ในอดีต ผลของกรรมนั้นก็ยังจะเกิดขึ้นได้อีก แต่จะอ่อนแรงลงแล้ว และถ้าเราได้ทำกรรมที่ตรงข้ามกันไว้มากๆ กรรมเก่าที่เราได้เคยทำไว้นั้นก็จะเจือจางหายไปได้

คำสอนเรื่องกรรมของพุทธศาสนานี้เป็นคำสอนระดับศีลธรรม ที่มีจุดประสงค์จะทำให้คนกลัวการทำชั่วและอยากทำความดี แต่เราจะต้องทำความเข้าใจอีกว่า คำสอนเรื่องกรรมของพระพุทธเจ้านี้เป็น คำสอนเรื่องทางจิตใจ ไม่ใช่เรื่องทางกายหรือวัตถุ อย่างเช่นที่คนส่วนใหญ่กำลังเข้าใจผิดกันอยู่ คือคนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า การทำกรรมจะให้ผลทางวัตถุ เช่น เมื่อทำกรรมดี ก็จะมีคนมาชมเชยหรือยกย่องและให้รางวัล หรือทำให้ร่ำรวยหรือมีเกียรติ แต่ถ้ากรรมชั่วก็จะทำให้สังคมติเตียน หรือถูกกฎหมายลงโทษ หรือทำให้ชีวิตพบกับภัยหรือความวิบัติล่มจม เป็นต้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของปัจจัยภายนอกที่มันเอาแน่ไม่ได้ คือถ้าทำดีแล้วไม่มีใครรู้ก็จะไม่มีใครมายกย่องหรือให้รางวัล หรือคนที่ทำชั่วแล้วปกปิดไว้ได้ ก็จะไม่มีใครติเตียนหรือลงโทษ เป็นต้น ซึ่งเราจะต้องเข้าใจจุดนี้เอาไว้ด้วย จะได้ไม่เกิดความเห็นผิดไปว่า "ทำดีแล้วไม่ได้ดี แต่พอทำชั่วแล้วได้ดี" ขึ้นมา อย่างเช่นที่คนทั่วไปเข้าใจผิดกันอยู่  

การทำดีนั้นสมัยนี้เรานิยมเรียกว่าเป็น การทำบุญ และผลจากการทำความดีก็เรียกว่า ผลบุญ ส่วนการทำความชั่วเราก็นิยมเรียกว่า การทำบาป และผลชั่วก็เรียกว่า ผลบาป ซึ่งก็ไม่ถูกต้อง เพราะแท้จริงแล้วคำว่า บุญ แปลว่า ความสะอาดหรือบริสุทธิ์ของจิตใจ ซึ่งก็เป็นความหมายหนึ่งของคำว่า นิพพาน ส่วนคำว่า บาป แปลว่า ความสกปรกของจิตใจ ซึ่งก็หมายถึง กิเลสและความทุกข์ ซึ่งนี่ก็ทำให้เราเข้าใจได้ว่า แท้จริงแล้วการทำความดีก็ยังไม่ใช่บุญ เพราะยังเป็นการทำด้วยกิเลสฝ่ายดี ซึ่งกิเลสนั้นมันทำให้จิตเกิดความทุกข์ แม้จะเป็นความทุกข์ที่ไม่รุนแรงก็ตาม (คือเป็นความทุกข์ซ่อนเร้น)

สรุปได้ว่า คำสอนเรื่องกรรมของพระพุทธเจ้านั้นเป็นคำสอนเรื่อง "จิตใต้สำนึก" (คือจิตส่วนลึกที่เราควบคุมมันไม่ได้) ที่สอนว่า เมื่อเราทำความชั่ว แม้จะไม่มีใครรู้ แต่จิตใต้สำนึกของเรามันก็รู้อยู่ว่าเป็นความชั่ว จึงทำให้จิตของเราเกิดความรู้สึกทุกข์ใจ ไม่สบายใจขึ้นมาทันที แต่พอเราทำความดี แม้จะไม่มีใครรู้ แต่จิตใต้สำนึกของเรามันก็รู่อยู่ว่าเป็นความดี จึงทำให้จิตของเราเกิดความสุขใจ อิ่มใจขึ้นมาทันที

ความเห็นถูกกับความเห็นผิด

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่า ความเห็นถูก หมายถึง ความเข้าใจสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริงของธรรมชาติ ส่วน ความเห็นผิด หมายถึง ความเข้าใจสิ่งทั้งหลายผิดจากความเป็นจริงของธรรมชาติ

เรื่องนี้อธิบายได้ว่า เมื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมา แล้วเราก็มีการคิดพิจารณาหาเหตุและปัจจัยที่มาปรุงแต่งให้เกิดสิ่งนั้นขึ้นมา จนพบเหตุและปัจจัยที่มาปรุงแต่งให้เกิดสิ่งนั้นขึ้นมา อย่างนี้จะเรียกว่าเป็น “ความเข้าใจ” แต่ความเข้าใจนี้ก็ยังอาจจะเป็น “ความเข้าใจถูก” ก็ได้ หรืออาจจะเป็น “ความเข้าใจผิด” ก็ได้

โดยวิธีการที่จะตรวจสอบว่า ความเข้าใจของเรานั้นมันเป็น “ความเข้าใจถูก” หรือ “ความเข้าใจผิด” ก็คือ ต้องมีการพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์ คือ ให้ทดลองสร้างเหตุและปัจจัยที่มาปรุงแต่งให้เกิดสิ่งนั้นขึ้นมา ซึ่งถ้ามันไม่เกิดผลเป็นสิ่งนั้นขึ้นมาจริงตามความเข้าใจของเรา ก็แสดงว่าความเข้าใจของเรานั้นมันผิด แต่ถ้ามันเกิดผลเป็นสิ่งนั้นขึ้นมาจริงๆ ก็ยังต้องทดลองซ้ำๆ จนแน่ใจว่าไม่ผิดพลาด ก็แสดงว่าความเข้าใจของเรานั้นถูกต้อง

โดยความเห็น (หรือความเข้าใจ) เรื่อง “จิตเป็นอัตตา” (คือเป็นตัวตนอมตะ) นั้น เป็นความเห็นที่ตรงข้ามกับความเห็นเรื่อง “จิตเป็นนิรัตตา” (คือคำว่า นิรัตตา หมายถึง ไม่มีตัวตนใดๆเลย) ซึ่งความเห็นทั้งสองนี้ พระพุทธเจ้าสอนว่าเป็น “ความเห็นผิด” ด้วยกันทั้งคู่ ส่วนความเห็นที่ถูกต้องนั้นพระพุทธเจ้าสอนว่าได้แก่ความเห็นว่า “จิตเป็นอนัตตา”

 โดยความเห็นว่า จิตเป็นอัตตา” นั้น ก็คือ ความเข้าใจว่า จิตของเรานี้เป็นอัตตา (คือเป็นตัวตนอมตะที่มีตัวตนเป็นของมันเองโดยไม่ต้องอาศัยสิ่งอื่นใดมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น) ซึ่งเมื่อเราพิจารณาด้วยเหตุด้วยผลตามความเป็นจริง เราก็เข้าใจแล้วว่า ทุกสิ่งต้องมีเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น แต่ลักษณะของ “อัตตา” กลับบอกว่ามันมีตนเองโดยไม่อาศัยสิ่งอื่นใดมาปรุงแต่งให้เกิดมันขึ้นมา ซึ่งนี่ก็แสดงว่าคำสอนเรื่อง “จิตเป็นอัตตา” นั้นเป็นความเข้าใจผิด

อีกทั้งจากความเป็นจริงที่เราก็รู้สึกได้จริงจากจิตของเราคือ “จิตก็ต้องอาศัยร่างกายที่ยังไม่ตายมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น” (คือเราไม่เคยมีจิตที่ไม่ต้องอาศัยร่างกายเลย) ซึ่งนี่แสดงถึงความจริงว่า ความเห็นว่า “จิตเป็นอัตตา” นั้นเป็นความเห็นผิด

แต่ความเห็นว่าจิตเป็นอัตตานี้ก็ยังมีส่วนดีตรงที่ ทำให้คนที่เชื่อเขาจะไม่ทำความชั่ว (เพราะกลัวตกนรก) แต่จะทำความดี (เพราะอยากขึ้นสวรรค์) ซึ่งเมื่อใครทำแต่ความดี ไม่ทำความชั่ว ก็จะทำให้เขาเป็นคนดี ซึ่งคนดีก็ย่อมจะมีความปกติสุข (คือความสุขใจอยู่เสมอๆ) และการมีคนดีมากๆ ก็จะทำให้สังคมสงบสุขและช่วยให้โลกมีสันติภาพได้

ส่วนความเห็นว่า “จิตเป็นนิรัตตา” นั้นก็คือ ความเข้าใจว่า “ไม่มีตัวตนใดๆเลย” คือเป็นความเข้าใจว่า ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ฯ (คือไม่มีผู้มีพระคุณ) และไม่มีดี ไม่มีชั่ว (คือเป็นความเข้าใจว่าการกระทำใดๆจะไม่มีผลใดๆเลยแก่ตนเอง) ซึ่งคนที่มีความเข้าใจเช่นนี้มักจะเป็นคนที่ไม่ชอบทำความดี (เพราะเชื่อว่าไม่ได้รับผลดี) แต่จะชอบทำความชั่ว (เพราะเชื่อว่าไม่ได้ต้องรับผลชั่ว) ซึ่งเขาก็จะแสวงหาความสุขไปวันๆโดยไม่สนใจว่าจะทำให้ตัวเองเดือดร้อนหรือทำให้คนอื่นเดือดร้อน ซึ่งความเห็นนี้จัดว่าเป็นความเห็นผิด เพราะมันทำให้ชีวิตของตนเองเกิดความทุกข์ (ทางใจ) และความเดือดร้อน (ทางกาย) รวมทั้งยังทำให้สังคมเดือดร้อนอีกด้วย

ส่วนความเห็นว่า “จิตเป็นอนัตตา” นั้น ก็คือความเข้าใจว่า “จิตไม่ได้เป็นทั้งอัตตาและนิรัตตา” คือเป็นความเข้าใจว่า จิตไม่ได้เป็นทั้งตัวตนอมตะ และ ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีตัวตนใดๆเลย ส่วนจิตที่มีอยู่นั้นมันเป็น “สิ่งปรุงแต่ง” คือ “เมื่อเหตุและปัจจัยของมันมี มันจึงจะมี แต่ถ้าเหตุและปัจจัยของมันไม่มี มันก็จะไม่มี” คือไม่ใช่ว่า “ไม่มีตัวตนใดๆเลย” อย่างพวกนิรัตตา และก็ไม่ได้ใช่ว่า “มีตัวตนอมตะ” อย่างพวกอัตตา

ส่วนเรื่อง พ่อแม่หรือผู้มีพระคุณ เป็นต้นนั้น พระพุทธเจ้าสอนว่า มีอยู่จริง ดังนั้นเราจึงต้องตอบแทนพระคุณของท่านตามสมควร ส่วนเรื่องการทำความดี-ความชั่วนั้นก็มีผล คือเมื่อทำความดีก็จะทำให้เกิดความสุขใจอิ่มใจในชีวิตปัจจุบันนี่เอง แต่ถ้าทำความชั่วก็จะมีผลเป็นความร้อนใจไม่สบายใจในชีวิตปัจจุบันนี่เอง ซึ่งนี่ก็คือผลที่เกิดจากการกระทำของเรา แต่ผลนี้ก็มีเฉพาะในชีวิตปัจจุบันเท่านั้น ไม่ได้เป็นผลที่ต้องไปรับเอาในชาติหน้าอย่างพวกอัตตา และ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีผลใดๆเลยอย่างพวกนิรัตตา

โดยความเห็นว่าจิตเป็นอนัตตานี้ จะทำให้คนที่มีความเห็นเช่นนี้เป็นคนดีของสังคมอย่างมั่นคง (คือจะทำแต่ความดีโดยไม่ทำความชั่วตลอดชีวิต) ซึ่งก็จะส่งผลทำให้เขามีชีวิตที่ปกติสุข และถ้าสังคมใดมีคนดีมากๆ สังคมนั้นก็จะสงบสุข รวมทั้งถ้าโลกมีคนดีมากๆ ก็จะทำให้โลกมีสันติภาพได้ แต่ที่สำคัญก็คือความเห็นว่า “จิตเป็นอนัตตา” นี้ ยังเป็นหัวใจของปัญญา สำหรับนำมาปฏิบัติร่วมกับสมาธิ (โดยมีศีลเป็นพื้นฐาน) เพื่อดับทุกข์ ตามหลักอริยมรรคของอริยสัจ ๔ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้อีกด้วย

สรุปได้ว่า เราต้องแยกให้ออกว่า “ความเห็นว่าจิตเป็นอัตตา” กับ “ความเห็นว่าจิตเป็นนิรัตตา” และ “ความเห็นว่าจิตเป็นอนัตตา” นั้นมันแตกต่างกันอย่างไร เราจึงจะเข้าใจได้ว่า “ความเห็นถูก” กับ “ความเห็นผิด” มันเป็นอย่างไร คือถ้าเรายังแยกไม่ออกว่าความเห็นทั้ง ๓ นี้เป็นอย่างไร เราก็อาจจะเกิดความเข้าใจผิดว่า “เมื่อจิตไม่ได้เป็นอัตตามันก็ต้องเป็นนิรัตตา” ได้โดยง่าย 

ภาษาที่ใช้สอน

ปัญหาที่คนส่วนใหญ่พบเมื่อศึกษาตำราพระไตรปิฎกของพุทธศาสนาก็คือ "อ่านแล้วไม่เข้าใจ" ซึ่งที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะภาษาที่ใช้บันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้าก็เป็นภาษาที่เราไม่คุ้นเคย รวมทั้งยังมีคำสอนที่เหมือนกับคำสอนของศาสนาพราหมณ์อีกด้วย เช่นคำว่า นรก สวรรค์ เทวดา นางฟ้า และการเวียนว่ายตายเกิด เป็นต้น ซึ่งคำเหล่านี้แม้จะเป็นคำพูดที่เหมือนกับคำสอนของศาสนาพราหมณ์ แต่ว่าความหมายจะไม่เหมือนกัน คือความหมายของศาสนาพราหมณ์นั้นเขาจะหมายถึง สิ่งภายนอกจิตใจ (คือเป็นตัวตนบุคคลหรือสถานที่) แต่ความหมายของพุทธศาสนาจะหมายถึง สภาวะจิตของเราในปัจจุบัน อย่างเช่นคำต่อไปนี้

โลก หมายถึง ความทุกข์ หรือสิ่งที่เรายึดถือกันอยู่

ชาติ หมายถึง การเกิดความยึดถือว่ามีตัวเราขึ้นมาในจิต

ตาย หมายถึง การที่ความยึดถือว่ามีตัวเราในขณะหนึ่งได้ดับหายไป

คน หมายถึง จิตที่กำลังเสวยสุขโดยต้องเอาความเหนื่อยยากลำบากกายเข้าแลก

มนุษย์ หมายถึง ผู้มีใจสูง หรือผู้มีคุณธรรม (คนยังไม่ใช่มนุษย์)

สวรรค์ หมายถึง สภาวะจิตที่มีแต่ความสุขใจอิ่มใจ

นรก หมายถึง ความทุกข์ใจหรือร้อนใจอย่างมากเหมือนถูกไฟเผา

เทวดา หมายถึง จิตที่กำลังเสวยสุขจากกามคุณโดยไม่ต้องเหนื่อยยากลำบากกาย

นางฟ้า หมายถึง ความสุขจากกามคุณชนิดต่างๆ (คือทางตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย)

พรหม หมายถึง จิตที่เบื่อกามคุณ และอยู่อย่างสุขสงบด้วยสมาธิ

รูปพรหม หมายถึง จิตที่ติดอยู่ในความสุขสงบจากสิ่งที่เป็นรูปหรือวัตถุ

อรูปพรหม หมายถึง จิตที่ติดอยู่ในความสุขสงบจากสิ่งที่ไม่มีรูป         

อบายภูมิ หมายถึง จิตที่ไม่มีความเจริญ คือมีความสุขน้อยแต่มีความทุกข์มากกว่า

เดรัจฉาน หมายถึง จิตที่มีความโง่อย่างไม่น่าโง่

เปรต หมายถึง จิตที่หิวหรือมีความอยากได้ด้วยกิเลสมาก

อสุรกาย หมายถึง จิตที่ขลาดกลัว ไม่กล้าหาญ

ยักษ์ หมายถึง จิตที่มีความโกรธ ความมุ่งร้าย        

สัตว์ หมายถึง จิตที่ยังติดใจอยู่ในโลก (ในกามคุณ ๕)

สัตว์นรก หมายถึง จิตที่กำลังเร่าร้อนทรมาน (ร้อนใจ ทุกข์ใจมาก)

ยมบาล หมายถึง กฎอันเฉียบขาดของธรรมชาติ

มาร หมายถึง สิ่งที่ทำลายล้างความดีความถูกต้องให้หายไปจากจิต

วัฏฏะสงสาร หมายถึง จิตที่วนเวียนอยู่ใน กิเลส-กรรม-วิบาก

นิพพาน หมายถึง จิตที่สงบเย็น หรือความเย็นใจ

สรุปได้ว่า การสอนของพระพุทธเจ้านั้น แม้ว่าพระองค์จะใช้ภาษาที่เหมือนกับคำสอนของศาสนาพราหมณ์ แต่ว่ามีความหมายต่างกัน คือคำสอนของศาสนาพราหมณ์จะเป็น "ภาษาคน" ที่สอนเรื่องการมีตัวตนบุคคล (อัตตา) คือจะมีความหมายตื้นๆที่ชาวบ้านฟังแล้วก็เข้าใจได้ง่ายๆโดยไม่ต้องแปลความหมายอีก แต่คำสอนของพระพุทธเจ้าจะเป็น "ภาษาธรรม" คือต้องแปลความหมายจากภาษาคน  ให้เป็น "ธรรมะระดับสูง" ซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้งในจิตใจของเราเองในชีวิตปัจจุบัน เราจึงจะอ่านตำราพระไตรปิฎกของพุทธศาสนาแล้วเข้าใจ เพราะคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้านั้นเป็นวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตใจ ที่ต้องน้อมเข้ามาดูภายในจิตใจของเราเท่านั้น 

แก่นของพุทธศาสนา

พุทธศาสนาก็เปรียบเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่มีองค์ประกอบหลายอย่าง อันได้แก่

ความสมบูรณ์ด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญ จัดเป็นเพียงกิ่งและใบของศาสนา

ความสมบูรณ์ด้วยศีล จัดเป็นเพียงสะเก็ดของศาสนา

ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ จัดเป็นเพียงเปลือกของศาสนา

ความสมบูรณ์ด้วยสัมมาทิฎฐิ (ความเห็นที่ถูกต้อง) จัดเป็นกะพี้ของศาสนา

ความหลุดพ้นจากความทุกข์โดยสิ้นเชิง (ถาวร) จัดเป็นแก่นของศาสนา

สรุปได้ว่าเราต้องมาดูว่าเราเข้าถึงส่วนใดของพุทธศาสนา คือถ้าเรายังติดอยู่ที่ความเจริญทางวัตถุหรือการที่มีคนเคารพนับถือมากๆ ก็ยังเป็นแค่เพียงส่วนเกินของพุทธศาสนา ถ้าเรายังติดอยู่ที่การเป็นคนดีมีศีลธรรม ก็ยังเป็นแค่ผิวนอกของพุทธศาสนา ถ้ายังติดอยู่แค่การมีสมาธิ ก็ยังเป็นแค่เปลือกของพุทธศาสนา ถ้ายังติดอยู่ที่การมีความเห็นที่ถูกต้อง ก็จัดว่าเข้าใกล้แก่นแท้ของพุทธศาสนาแล้ว จะต้องมีความหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างถาวร จึงจะจัดว่าเป็นแก่นแท้ของพุทธศาสนา 

การช่วยโลกให้มีสันติภาพ

ศาสนาทุกศาสนาของโลก ล้วนมีจุดมุ่งหมายที่เหมือนกันคือ การช่วยให้โลกมีสันติภาพหรือความสงบสุขที่มั่นคง แต่จะต่างกันที่วิธีการสอนเท่านั้น โดยศาสนาส่วนใหญ่จะใช้วิธีการสอนให้ผู้คนมีความเชื่อเหมือนกัน จะได้ทำให้ผู้นับถือมีความสามัคคีกันในการทำโลกให้มีสันติภาพ ซึ่งในยุคปัจจุบันการสอนให้มีความเชื่อเริ่มไม่ได้ผล เพราะผู้คนมีอิสระในการคิดด้วยเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์มากขึ้น จึงทำให้มีคนที่ไม่มีศาสนามากขึ้นในโลก

ในส่วนของพุทธศาสนานั้นจะมีวิธีการสอนทั้งแบบ "การสอนให้เชื่อเหมือนกับศาสนาอื่น" คือจะสอนให้เชื่อว่า "เมื่อทำความดี ไม่ทำความชั่ว ย่อมได้รับผลดีเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าโลกหน้าจะมีหรือไม่ก็ตาม" ซึ่งนี่คือหลักของศีลธรรมในพุทธศาสนา แต่จุดเด่นของพุทธศาสนาก็คือ "การสอนให้เกิดความเข้าใจและเห็นแจ้งโลกตามความเป็นจริง" ซึ่งวิธีการนี้เหมาะสำหรับคนที่มีอิสระในการคิดด้วยเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งวิธีการนี้จัดเป็นคำสอนระดับสูงของพุทธศาสนา

โดยคำสอนระดับสูงของพุทธศาสนานั้นจะสอนให้เราแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือการที่โลกเกิดวิกฤติการณ์ต่างๆขึ้นมาทั่วโลกนั้นเกิดมาจากจิตใจของคนที่โง่เขลาทั้งสิ้น ซึ่งความโง่เขลานี้ก็คือ "ความไม่รู้แจ้งชีวิตและโลกตามความเป็นจริง" ว่า ชีวิตคืออะไร? เกิดมาทำไม? และอะไรคือสิ่งสูงสุดที่คู่ควรกับชีวิต?

เรื่องนี้อธิบายได้ว่า คนเราทุกคนนั้นเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็จะมีสัญชาตญาณว่ามีตนเอง (หรือความรู้สึกตัวว่ามีตนเอง) ติดมาด้วยทุกคน รวมทั้งมีความโง่เขลาหรือความไม่รู้แจ้งชีวิตจามความเป็นจริงติดมาด้วย จึงทำให้คนเรานั้นดำเนินชีวิตหรือใช้ชีวิตไปตามสัญชาตญาณและความโง่เขลา โดยสัญชาตญาณว่ามีตนเองนี้ก็ทำให้คนเรานั้นเกิด "ความเห็นแก่ตัว" เป็นหลัก แล้วก็ทำอะไรๆก็เพื่อตนเองเป็นหลัก ซึ่งการทำอะไรๆเพื่อตนเองนี้ก็คือกิเลส (ความยินดี-ยินร้าย) นั่นเอง โดยคนที่เห็นแก่ตัวน้อยแต่เห็นแก่คนอื่นมากกว่า ก็จะมีกิเลสฝ่ายดี ที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น แต่คนที่เห็นแก่ตัวมาก โดยไม่เห็นแก่คนอื่น ก็จะมีกิเลสฝ่ายชั่วที่ชอบเบียดเบียนผู้อื่น ซึ่งกิเลสฝ่ายชั่วนี่เองที่ทำให้โลกมีแต่วิกฤตการณ์

ส่วนวิธีการช่วยให้โลกมีสันติภาพตามหลักพุทธศาสนานั้นก็คือ การสอนให้คนมี "ปัญญา" ซึ่งปัญญานี้ก็คือ ความรู้แจ้งชีวิตและโลกตามความเป็นจริงว่า "มันไม่ได้มีตัวเราอยู่จริง" ซึ่งความรู้นี้ก็คือคำสอนเรื่อง สุญญตา (ความว่าง) นั่นเอง โดยพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า แม้ผู้ครองเรือนก็ควรรู้เรื่อง สุญญตา เพราะความรู้นี้จะทำให้คนที่เข้าใจและเห็นแจ้งนั้นลดความเห็นแก่ตัวลงได้ และทำให้กิเลสในจิตใจของเขาลดน้อยลงตาม แล้วเขาก็จะเป็นคนดีที่เห็นแก่ตัวน้อยลงและหันมาช่วยเหลือผู้อื่นมากขึ้น รวมทั้งคนดีนี้ยังจะมาช่วยกันเผยแพร่คำสอนอันประเสริฐนี้ให้แพร่หลายไปทั่วโลกอีกด้วย ซึ่งเมื่อโลกมีคนดีมากๆ ก็จะทำให้คนชั่วลดน้อยลงและหมดอำนาจที่จะปกครองโลกหรือมาทำให้โลกมีวิกฤตการณ์ และเมื่อวิกฤตการณ์ของโลกลดน้อยลงหรือหมดสิ้นไป สันติภาพหรือความสงบสุขของมนุษยชาติก็จะกลับคืนมาได้ หลังจากที่ได้เสียมันไป

จบภาค ๒

จบบริบูรณ์

(ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net)



ถ้าใครต้องการโหลดหนังสือ ศึกษาพุทธศาสนาอย่างวิทยาศาสตร์ นี้ไปอ่านในรูปแบบ PDF ก็ คลิ๊กที่นี้