มหันตภัยจากธรรมชาติ

โลกเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีความน่าอัศจรรย์แฝงอยู่มากมาย เริ่มตั้งแต่โลกได้เกิดมีสิ่งที่มีชีวิตพวกพืชขึ้นมา และมีสัตว์ต่างๆเกิดขึ้นตามมา สุดท้ายก็เกิดสัตว์พิเศษชนิดหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า “มนุษย์” ที่หมายถึงสัตว์ที่ประเสริฐขึ้นมา

พืชนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตพื้นฐานที่ทำให้เกิดสัตว์และมนุษย์ขึ้นมา โดยพืชก็นำเอาดิน น้ำ แสงแดด และอากาศบริสุทธิ์ของโลกมาสร้างเป็นราก ลำต้น กิ่งก้าน ใบ ดอก และผลขึ้นมา ซึ่งพืชนั้นก็จะมาเป็นอาหารให้กับสัตว์และมนุษย์อีกทีหนึ่ง ส่วนสัตว์บางพวกก็กินกันเองเป็นอาหาร ส่วนมนุษย์นั้นก็กินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร ซึ่งนี่ก็คือระบบของธรรมชาติที่ปรุงแต่งหรือสร้างสิ่งต่างๆขึ้นมาโดยอาศัยสิ่งอื่นๆมาปรุงแต่งขึ้นมา ไม่มีสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นมาได้ด้วยตัวเองโดยไม่อาศัยสิ่งอื่นๆ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นมาทุกสิ่งนั้นเมื่อยังมีสิ่งอื่นๆมาปรุงแต่งอย่างสมบูรณ์ก็จะยังคงตั้งอยู่ได้อย่างสุขสบาย แต่เมื่อใดสิ่งที่มาปรุงแต่งนั้นขาดหายไป สิ่งที่เกิดมาจากการปรุงแต่งนั้นก็ย่อมที่จะดับสลายหรือหายตามไปด้วยเสมอ หรือเมื่อสิ่งที่มาปรุงแต่งนั้นไม่สมบูรณ์หรือขาดแคลน สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากการปรุงแต่งนั้นก็ย่อมที่จะมีความทุกข์หรือเดือดร้อนขึ้นมาทันที

พืชเป็นสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนที่ไม่ได้ ส่งเสียงและแสดงอาการต่างๆเหมือนสัตว์และมนุษย์ไม่ได้ แต่พืชก็รับรู้และรู้สึกได้เหมือนสัตว์และมนุษย์เหมือนกัน จะต่างกันบ้างก็ตรงที่พืชนั้นไม่มีสมองเหมือนสัตว์และมนุษย์ ดังนั้นพืชจึงจดจำและคิดอย่างสัตว์และมนุษย์ไม่ได้ ส่วนสัตว์นั้นถึงแม้จะเคลื่อนที่ได้และรับรู้ รู้สึก และจดจำ รวมทั้งคิดได้ แต่ก็จดจำและคิดได้ไม่ดีเท่ามนุษย์ ส่วนมนุษย์นั้นเป็นสัตว์พิเศษที่สมองสามารถจดจำสิ่งต่างๆที่มนุษย์ได้เคยรับรู้และรู้สึกมาแล้วได้มากและละเอียด จึงทำให้มนุษย์นั้นมีความคิดที่ละเอียด ลึกซึ้ง และสลับซับซ้อนอย่างยิ่ง

พืชและสัตว์นั้นจะดำเนินชีวิตไปตามสัญชาติญาณ ซึ่งสัญชาติญาณก็คือความรู้ที่มีมาพร้อมกับชีวิตโดยไม่มีใครมาสอน คือเมื่อเกิดชีวิตขึ้นมาแล้วพืชและสัตว์ทั้งหลายก็จะแสวงหาอาหาร กินอาหาร สืบพันธ์ หนีภัย ป้องกันตัว ได้ด้วยตัวเองโดยไม่มีใครมาสอนในการกระทำเหล่านี้ ซึ่งการกระทำของพืชและสัตว์ตามสัญชาติญาณนี่เอง ที่ทำให้เกิดเป็นป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์ขึ้นมามากมายบนโลกและมีสัตว์ป่านานาชนิดในป่า ที่อาศัยเกื้อกูลกันอยู่อย่างเป็นระบบที่เรียกว่า “ระบบนิเวศ” ขึ้นมา คือมันจะมีการจัดระบบของตัวมันเองอย่างสมดุล โดยมีทั้งการสร้างและควบคุมอย่างเหมาะสม จึงทำให้ระบบของมันยังคงตั้งอยู่หรือดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่นไม่มีปัญหา

อย่างเช่นเมื่อมีหนูเกิดขึ้นมามากๆ ก็จะเกิดสัตว์พวกงู แมว หรือนกเค้าแมวขึ้นมามากด้วย เพื่อควบคุมไม่ให้หนูเกิดขึ้นมามากเกินไป ถ้าไม่มีสัตว์มาควบคุมก็จะทำให้เกิดมีหนูมากเกินไป แล้วหนูก็จะมากัดกินพืชบางชนิดที่เป็นอาหารของสัตว์อื่นให้สูญพันธ์ไปได้ ถ้าพืชชนิดนั้นสูญพันธ์ไป สัตว์ที่กินพืชชนิดนั้นเป็นอาหารก็จะต้องเดือดร้อน หรือสูญพันธ์ตามไปด้วย เมื่อสัตว์ชนิดนี้เดือดร้อน มันก็จะไปหาอาหารอย่างอื่นกินแทน ซึ่งก็จะทำให้เกิดผลกระทบต่อพืชและสัตว์ชนิดอื่นๆต่อไปได้ หรือเมื่อสัตว์ชนิดนั้นสูญพันธ์ไป ก็ย่อมที่จะส่งผลกระทบต่อพืชและสัตว์ชนิดอื่นๆที่สัตว์ชนิดนั้นกินตามมาอีก เป็นต้น คือมันจะเกิดผลกระทบต่อๆกันไปเป็นทอดๆเหมือนโดมิโนอย่างเป็นระบบ เมื่อจุดใดจุดหนึ่งของระบบถูกทำลาย หรือเสียหายไป มันก็จะส่งผลกระทบไปทั้งระบบ ทำให้ระบบทั้งหมดเสียหายหรือเปลี่ยนแปลงไปทันที

พืชนั้นเมื่อมีวิวัฒนาการมากขึ้น มันก็จะเกิดเป็นป่าไม้ใหญ่ๆขึ้นมาทั่วโลก ซึ่งป่าไม้นี้จัดว่ามีพระคุณต่อชีวิตสัตว์และมนุษย์อย่างยิ่ง เพราะป่าไม้นี่เองที่เป็นแหล่งสร้างปัจจัย ๔ อันเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตให้แก่สัตว์และพืชทั้งหลายของโลก โดยอาหารของสัตว์และมนุษย์ก็หาได้จากป่า ส่วนต้นไม้ใหญ่ๆมนุษย์ก็นำมาสร้างเป็นที่อยู่อาศัยได้ ส่วนพืชบางชนิดก็นำมาถักทอเป็นเสื้อผ้าใช้นุ่งห่มกันหนาวกันร้อนได้ แม้เจ็บป่วยก็นำสมุนไพรจากป่ามาทำเป็นยารักษาโรคได้

สิ่งสำคัญก็คือป่าไม้จะช่วยให้เกิดน้ำฝน อันเป็นสิ่งที่จะมาทำให้แผ่นดินชุ่มชื้นเหมาะสำหรับการเจริญเติบโตของพืชที่เป็นอาหารของสัตว์และมนุษย์ เมื่อพืชเจริญเติบโตและตายไปมันก็จะเน่าเปื่อยกลายเป็นปุ๋ยให้กับพืชอีกทีหนึ่ง เมื่อมีพืชมากๆดินก็อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุของปุ๋ยมาก จึงทำให้การเพาะปลูกพืชที่ใช้เป็นอาหารของมนุษย์ทำได้ดี มนุษย์ก็มีอาการกินอย่างสุขสบาย ยังไม่เท่านั้น ป่าไม้ยังน้ำแก่สัตว์และมนุษย์เพื่อใช้ดื่มและเพื่อการเพาะปลูก ป่าไม้ช่วยให้อุณหภูมิของโลกมีความเหมาะสมที่สัตว์และมนุษย์จะอาศัยอยู่ได้อย่างสุขสบาย และป่าไม้ยังช่วยสร้างออกซิเจนให้แก่สัตว์และมนุษย์เพื่อใช้หายใจ ถ้าไม่มีป่าไม้ ก็ไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำ ไม่มีอุณหภูมิที่เหมาะสม และไม่มีอากาศบริสุทธิ์ ก็จะทำให้ทั้งสัตว์และมนุษย์เดือดร้อนและสูญพันธ์ได้

มนุษย์นั้นเป็นสัตว์ที่มีสมองพิเศษ ที่สามารถจดจำและคิดได้ดีเยี่ยม แต่มนุษย์นี่เองที่สร้างปัญหาให้แก่ระบบนิเวศของป่าไม้ เพราะมนุษย์นั้นไม่ได้กินและใช้เท่าที่จำเป็นตามสัญชาติญาณเหมือนอย่างสัตว์ทั้งหลาย แต่มนุษย์กลับกินและใช้เกินความจำเป็นสำหรับชีวิตอย่างมากมาย จนทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบนิเวศของป่าตามขึ้นมาทันที แล้วผลนั้นมันก็กระทบต่อๆกันไปจนทำให้ระบบทั้งหมดของป่าเสียหาย จนเกิดผลอันเลวร้ายอันเป็นมหันตภัยขึ้นมาแก่มวลมนุษย์อย่างเช่นในปัจจุบัน

สัตว์ทั้งหลายนั้นเมื่อจะกินมันก็จะกินแค่พออิ่ม ซึ่งสัตว์ส่วนใหญ่จะไม่รู้จักการเก็บกักตุนอาหาร ยิ่งการนำต้นไม้มาสร้างเป็นที่อยู่อาศัยสัตว์ก็ทำไม่เป็น หรือนำแร่ธาตุและพลังงานในดินมาสร้างเป็นสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆสัตว์ก็ทำไม่เป็น แต่มนุษย์นั้นมีสมอง และสามารถคิดได้มากจึงทำเป็น คือมนุษย์นั้นแม้จะกินอิ่มแล้วก็ยังกินต่อไม่หยุดตามความอยากของจิตใจจนร่างกายอ้วนพี อีกทั้งยังสามารถเก็บกักตุนอาหารเอาไว้กินในภายหลังได้อีกด้วย แม้ต้นไม้ใหญ่ๆในป่าที่ต้องใช้เวลาหลายร้อยปีกว่าจะเจริญเติบโตขึ้นมาได้ มนุษย์ก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการตัดโค่นทำลายเพื่อนำมาสร้างเป็นบ้านเรือนที่โอ่อ่าสวยหรูเกินความจำเป็น ส่วนแร่ธาตุและพลังงานที่โลกได้สะสมเอาไว้หลายล้านปี มนุษย์ก็ยังขุดเจาะนำเอามาสร้างสิ่งของเครื่องใช้เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่มนุษย์ และยังนำเอาทรัพยากรเหล่านั้น มาประดิษฐ์เป็นสิ่งของเครื่องใช้ที่เป็นสิ่งฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น ที่จะสร้างความสุขสนุกสนานเพลิดเพลินให้แก่มนุษย์อีก รวมทั้งมนุษย์ยังนำทรัพยากรนี้มาสร้างอาวุธเพื่อใช้ทั้งป้องกันตัวและทำร้ายผู้อื่นอีกด้วย

ในปัจจุบันมนุษย์ได้ใช้ทรัพยากรของโลกไปอย่างมากมาย เพื่อสร้างอาหารให้แก่มนุษย์ และสร้างสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆรวมทั้งอาวุธขึ้นมา เมื่อมนุษย์มีมากขึ้นการนำทรัพยากรของโลกมาใช้ก็มากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งการที่จะสร้างอาหารให้แก่มนุษย์และสร้างสิ่งของเครื่องใช้รวมทั้งอาวุธขึ้นมาได้นั้น จะต้องใช้พื้นที่ของโลกจำนวนมากและใช้แร่ธาตุและพลังงานจำนวนมากด้วย ดังนั้นจึงส่งผลทำให้เกิดการทำลายป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์ของโลกให้พินาศย่อยยับไปอย่างมโหฬารภายในเวลาอันสั้น

เมื่อป่าไม้ของโลกได้ถูกทำลายลงเป็นจำนวนมาก ระบบนิเวศของโลกก็พินาศ ก็ทำให้ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล อันส่งผลให้เกิดความแห้งแล้งที่ยาวนานและทะเลทรายที่กว้างขวางมากขึ้น เมื่อฝนตกน้ำก็ท่วม อากาศที่บริสุทธิ์ก็ลดน้อยลง เพราะมีอากาศเสียจากการทำอุตสาหกรรมเพื่อผลิตสิ่งเกินความจำเป็นมากขึ้น รวมทั้งมลพิษทั้งทางดินและน้ำจากอุตสาหกรรมก็มากขึ้น อุณหภูมิของโลกก็แปรผันทำให้โลกร้อนขึ้น ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นของหายนะภัยของมนุษย์ เพราะความแห้งแล้งก็จะทำให้เกิดความอดอยากขาดแคลนทั้งอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค แม้ในท้องทะเลอันกว้างใหญ่ที่เคยมีปลาชุกชุม มนุษย์ก็ไปจับเอามาเป็นอาหารกันจนเหลือน้อยเต็มที

เมื่อพื้นดินตายเพราะความแห้งแล้ง ปัญหาผู้อพยพเพราะความอดอยากขาดแคลนก็จะเกิดขึ้นไปทั่วโลก การฆ่ากันทำร้ายกันเพื่อแย่งชิงอาหารก็จะเกิดขึ้นทั่วโลก ผู้คนในประเทศต่างๆก็จะอดตายกันมากขึ้น จะมีก็เฉพาะในบางประเทศที่อุดมสมบูรณ์ที่ยังคงสุขสบายอยู่ เพราะสามารถสร้างและเก็บกักตุนอาหารและทรัพยากรไว้ได้มาก แต่ไม่นานหายนะก็ย่อมที่จะมาเยือนประเทศเหล่านี้ด้วยเหมือนกัน เพราะมนุษย์ยังอาศัยอยู่ในโลกใบเดียวกัน และมีระบบนิเวศที่เชื่อมต่อถึงกันทั่วโลก เมื่อประเทศหนึ่งเดือดร้อน มันก็ย่อมที่จะกระทบไปถึงประเทศอื่นๆด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ปัญหาทั้งหมดนี้ก็มาจากการที่มนุษย์กินเกินใช้เกิน เพราะอำนาจความอยากมันผลักดัน คือมนุษย์ทุกคนก็อยากมีความสุขจากเรื่องทางเพศ จากการเสพวัตถุสิ่งของ และจากการมีเกียรติยศชื่อเสียง เมื่อใครมีโอกาสก็รีบแสวงหาและเก็บกักตุนเอาไว้เพื่อตัวเองและพวกพ้องให้มากที่สุด อันส่งผลให้ผู้ที่ด้อยโอกาสเกิดความขาดแคลน และเกิดการแย่งชิงกันขึ้นมาจนเกิดปัญหาสงครามในรูปแบบต่างๆขึ้นมาอีกทั่วโลก ซึ่งในที่สุดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ก็จะเกิดขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนที่อดอยากขาดแคลนล้นเข้ามาแบ่งปันหรือแย่งชิงทรัพยากรของตนเอง นี่ยังไม่รวมภัยจากโรคระบาดร้ายแรง และภัยจากจากธรรมชาติ เช่น พายุรุนแรง น้ำท่วม ฝนแล้ง หิมะตกหนัก โลกร้อนขึ้น เป็นต้น ที่มีสาเหตุโดยอ้อมมาจากการกินเกินใช้เกินของมนุษย์ส่วนใหญ่ ซึ่งแม้ผู้ที่ไม่ได้เป็นคนก่อปัญหานี้ขึ้น ก็ต้องได้รับผลอันเลวร้ายนี้ด้วยกัน ซึ่งนี่ก็แสดงถึงความไม่ยุติธรรมในสังคมมนุษย์ที่เห็นแก่ตัว

การแก้ปัญหานั้นจะมาแก้กันที่ใครคนใดคนหนึ่งหรือที่ประเทศใดประเทศหนึ่งไม่ได้ เพราะปัญหานี้มันเกิดมาจากมนุษย์ทุกคนที่ร่วมกันสร้างเหตุของมันขึ้นมา ทั้งอาจจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม คือมนุษย์ทุกคนก็ต้องกินต้องใช้ ซึ่งการกินการใช้ก็ต้องมีส่วนทำให้เกิดการทำป่าไม้และทรัพยากรของโลกด้วยกันทั้งสิ้น จะต่างกันก็ตรงที่คนที่กินและใช้เท่าที่จำเป็น กับคนที่กินเกินใช้เกินหรือที่เรียกว่าฟุ่มเฟือย ถ้าใครกินและใช้เท่าที่จำเป็นก็จะเป็นผู้สร้างปัญหาน้อย แต่ใครที่ฟุ่มเฟือยก็จะเป็นผู้สร้างปัญหามาก

การแก้ปัญหาก็ต้องมาแก้ที่เราทุกคน โดยการสำรวจตัวเองว่าเรากำลังกินเกินใช้เกินหรือฟุ่มเฟือยกันอยู่หรือเปล่า? เราเสพสิ่งเสพติดที่ร้ายแรงและที่ไม่ร้ายแรงพวก บุหรี่ สุรา เป็นต้น กันอยู่หรือเปล่า? เราลุ่มหลงความสนุกสนานเฮฮาที่ต้องใช้เงินมากกันอยู่หรือเปล่า? เรามีสิ่งของโก้เก๋ทันสมัยและเปลี่ยนบ่อยๆหรือเปล่า? เรากินอาหารที่เอร็ดอร่อยที่หายากและราคาแพงๆหรือเปล่า? เราสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัยที่ใหญ่โตโอ่อ่าหรูหราเกินไปหรือไม่? เป็นต้น ถ้าเรายังกระทำสิ่งเหล่านี้อยู่ก็แสดงว่า เราก็เป็นคนหนึ่งที่มีส่วนร่วมสร้างปัญหาอย่างมากให้กับมวลมนุษย์โดยรวมคนหนึ่ง ถ้ามนุษย์ส่วนมากก็กระทำเหมือนกับเราเช่นนี้ ปัญหาก็ย่อมที่จะเพิ่มความรุนแรงมากและเร็วขึ้นด้วย ซึ่งนั้นก็หมายถึงมหันตภัยของมนุษยชาติกำลังใกล้เข้ามาแล้ว

การที่เรากินและใช้กันอย่างฟุ่มเฟือยนั้น ย่อมที่จะส่งผลต่อๆไปทำให้เกิดการแสวงหาสิ่งฟุ่มเฟือยมาตอบสนองความอยากของเราอยู่เสมอ เมื่อเราแต่ละคนก็กินและใช้กันอย่างฟุ่มเฟือยเช่นนี้กันมากๆ ก็ย่อมที่จะส่งผลต่อๆไปเป็นเหมือนโดมิโนที่ทำให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่ามากขึ้น แล้วระบบนิเวศก็เสียหายอย่างรุนแรง ในที่สุดมหันตภัยจากความอดอยากขาดแคลนก็จะมาถึงเราในไม่ช้า ซึ่งวิธีแก้ปัญหานั้นก็ต้องมาแก้กันที่ต้นตอของปัญหา คือที่ความเห็นแก่ตัว โดยการลดความเห็นแก่ตัวลง ซึ่งอาจจะใช้วิธีการบังคับตัวเองก็ได้ หรือที่ดีที่สุดก็คือด้วยการศึกษาให้เกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า “แท้จริงมันไม่มีเราอยู่จริง” โดยใช้หลักเหตุผลและความจริงตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งเมื่อเข้าใจว่ามันไม่มีเราอยู่จริงแล้ว ก็จะทำให้ความเห็นแก่ตัวลดน้อยลงได้อย่างแท้จริง ซึ่งวิธีนี้เท่านั้นที่จะช่วยให้โลกรอดจากวิกฤติอันใหญ่หลวงนี้ได้อย่างแท้จริง

จึงขอฝากให้ทุกคนเอาเรื่องนี้ไปคิด เพื่อมองให้เห็นภัยจากความฟุ่มเฟือยของเราทุกคน แล้วมาช่วยกันประหยัดหรือกินและใช้เท่าที่จำเป็นให้มากขึ้น และมาช่วยกันลดละความเห็นแก่ตัวลง รวมทั้งมาช่วยกันเผยแพร่ความรู้นี้ต่อๆไปแก่มวลมนุษย์ให้มากที่สุด เพื่อช่วยโลกให้รอดพ้นจากภัยพิบัติอันใหญ่หลวงและกลับมามีความสงบสุขที่ยั่งยืนกันต่อไป.

เตชปญฺโญ ภิกขุ ๘ มิ.ย. ๒๕๕๒
อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี
(ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net)