สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นั้นยากที่คนธรรมดาจะยอมรับได้

การเรียนรู้หลักคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น โดยทั่วไปชาวพุทธจะเชื่อตามตำรา (เช่นพระไตรปิฎก) หรือตามที่มีคนเขาบอกมา (เช่นครูอาจารย์หรือผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง)  คือจะเชื่อว่า คนที่ทำความดี เมื่อตายไปแล้วจิต (หรือวิญญาณ) ที่เป็นตัวตนอมตะ (อัตตา) ก็จะได้ไปเกิดบนสวรรค์ (ที่มักเชื่อกันว่าอยู่บนฟ้า) หรือเกิดมาแล้วร่ำรวยสุขสบาย ส่วนคนที่ทำชั่ว เมื่อตายไปแล้วจิต (หรือวิญญาณ) ก็จะต้องตกนรก (ที่มักเชื่อกันว่าอยู่ใต้ดิน) หรือเกิดมาแล้วยากจน ต่ำต้อย หรือมีความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งลักษณะนี้เรียกว่า การเวียนว่ายตาย-เกิดทางร่างกาย จนกว่าจิตหรือวิญญาณที่เป็นตัวตนอมตะ (อัตตา) นี้ จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วมีการเจริญอริยมรรค จนทำให้จิตบริสุทธิ์จากกิเลสอย่างสิ้นเชิงก็จะบรรลุนิพพานชนิดที่ร่างกายยังอยู่ (คือจะไม่มีความทุกข์ทางจิตใจเลย จะมีแต่ความสุขไปจนตาย) และเมื่อตายไปก็จะบรรลุนิพพานชนิดที่ไม่มีร่างกายแล้ว

นิพพานชนิดหลังจากตายแล้วนี้ ส่วนมากชาวพุทธจะเชื่อว่าหมายถึงการตายแล้วจิตหรือวิญญาณที่เป็นตัวตนอมตะ (อัตตา) นี้จะดับสูญไปเลย (ซึ่งความเชื่อนี้เรียกว่าเป็น “กึ่งอัตตา” คือเป็นอัตตาครึ่งหนึ่ง ไม่ใช่อัตตาครึ่งหนึ่ง เพราะความเชื่อของอัตตาจริงๆนั้นจะไม่มีการดับสูญอย่างเด็ดขาด) แต่ก็มีชาวพุทธบางส่วนที่เข้าใจว่านิพพานชนิดหลังจากตายแล้วนี้ จะหมายถึงการที่จิตหรือวิญญาณนี้จะไม่ดับสูญ แต่จะไปอยู่ ณ ดินแดนพระนิพพาน ที่บางคนก็เข้าใจว่าเป็นบ้านเป็นเมืองที่มีแต่ความสุขไม่มีความทุกข์อยู่ชั่วนิรันดร แต่บางคนก็เข้าใจว่าเป็นสภาวะ (ซึ่งเขาก็ยังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร) ที่ไม่มีความทุกข์ จะมีแต่ความสุขอยู่ชั่วนิรันดร (ซึ่งความเชื่อนี้จัดว่าเป็นอัตตาเต็มตัว)

คำสอนเรื่องว่ามีจิตหรือวิญญาณที่ออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้นี้ แท้จริงแล้วเป็นความเชื่อว่าจิตหรือวิญญาณเป็นอัตตา ซึ่งคำว่า อัตตา ก็หมายถึง ตัวตนที่เป็นอมตะ คือจะไม่มีวันตายหรือดับสูญไปอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะมีอะไรมาทำลายหรือไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านพ้นไปสักเท่าใดก็ตาม ซึ่งความเชื่อนี้แท้จริงเป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์ ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า แต่ความเชื่อนี้ก็ได้ผสมหรือปลอมปนเข้ามาอยู่ในคำสอนของพุทธศาสนามาช้านานแล้วโดยชาวพุทธไม่รู้ตัว

ความเชื่อว่าจิตหรือวิญญาณเป็นอัตตานี้ผู้คนจะยอมรับนับถือกันมาก (คือแทบทุกศาสนาจะมีคำสอนในลักษณะนี้) เพราะมันมีสามัญสำนึกของจิตเรามาเป็นสิ่งยืนยัน คือเราทุกคนก็ย่อมที่จะรู้สึกตัวว่า “มีตัวเราอยู่จริงในโลก” ทั้งนั้น ดังนั้นเราจึงมักเชื่อกันว่า เมื่อร่างกายตายไปแล้ว จะต้องมีสิ่งที่เป็นเรา (เช่นจิตหรือวิญญาณ) ไปเกิดใหม่ได้อีกอย่างแน่นอน

แต่เราเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า ความเชื่อว่าจิตหรือวิญญาณเป็นอัตตานี้ คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้? ทำไมพระพุทธเจ้าจึงมาตรัสรู้อะไรอย่างที่ศาสนาพราหมณ์เขาสอนอยู่ก่อนแล้ว (คือเรื่องจิตหรือวิญญาณเป็นอมตะ และนิพพานชนิดที่เป็นอมตะ รวมทั้งความเชื่อที่นำมาดัดแปลงนิดหน่อยเรื่องนิพพานแล้วจิตจะดับสูญไปเลยเท่านั้น) ก็ในเมื่อพระพุทธเจ้าทรงเป็นสุดยอดอัจฉริยะ หรือผู้ที่มีปัญญาหรือมีความรอบรู้ในชีวิตอย่างสูงสุดชนิดที่ไม่มีใครเทียบเท่าในโลก แต่ทำไมทรงตรัสรู้หรือค้นพบอะไรที่เหมือนกับที่พราหมณ์เขาสอนอยู่ก่อนแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่ควรเรียกว่าเป็นการตรัสรู้ แต่ควรเรียกว่า เป็นการคัดลอกเอาคำสอนของศาสนาพราหมณ์ มาดัดแปลงนิดหน่อยแล้วก็มาอวดอ้างว่าเป็นคำสอนของตนเองเท่านั้น ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่สมกับเป็นพระพุทธเจ้าจริงๆเลย

พระพุทธเจ้าจะต้องตรัสรู้อะไรที่เหนือหรือสูงกว่านั้น คือชนิดที่ไม่เป็นความเชื่อง่ายๆอย่างที่ศาสนาพราหมณ์เขาสอนกันอยู่ สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ จะต้องเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง และไม่ใช่อย่างที่ศาสนาพราหมณ์สอนอยู่อย่างแน่นอน (คือเรื่องจิตหรือวิญญาณเป็นอัตตา) รวมทั้งจะต้องเป็นสิ่งที่คนธรรมดาจะเข้าใจได้ยากยิ่งและไม่ยอมรับง่ายๆ ถ้าคนธรรมดาที่ไม่มีความรู้ที่ลึกซึ้งจะเข้าใจได้ ก็จะไม่ใช่คำสอนที่ลึกซึ้งเป็นแน่ แต่จะต้องเป็นคำสอนที่คนมีปัญญามากๆเท่านั้นจึงจะเข้าใจได้ จึงจะสมกับเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ถ้าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายๆ ใครๆก็คงจะค้นพบหรือเข้าใจกันหมดแล้ว ไม่ต้องมาถึงพระพุทธเจ้าก็ได้

สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้หรือค้นพบนั้น จะตรงข้ามกับหลักคำสอนของศาสนาพราหมณ์อย่างสิ้นเชิง คือทรงค้นพบว่า "ทุกสิ่งเป็นอนัตตา" (ทุกสิ่งไม่เว้นสิ่งใดเลยไม่ใช่ตัวตนที่เป็นอมตะ) ซึ่งก็เท่ากับทรงค้นพบว่า แม้จิตหรือวิญญาณของคนเรานี้ก็ไม่ใช่ตัวตนที่เป็นอมตะ (ชนิดที่จะสามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วเพื่อไปเกิดยังร่างกายใหม่ๆได้) เมื่อจิตหรือวิญญาณของเราไม่ใช่ตัวตนที่เป็นอมตะ มันก็เท่ากับว่าจิตหรือวิญญาณที่เรายึดถือกันว่าเป็นตัวเรา-ของเรานี้ "มันก็ไม่ใช่ตัวเรา-ของเราจริงเลย" (ถ้ามันเป็นตัวเรา-ของเราจริง มันก็จะต้องมีอยู่ไปชั่วนิรันดรหรือเป็นอมตะ) หรือเรียกได้ว่ามันมีเพียงตัวเรา-ของเราอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น (คือตราบเท่าที่จะยังมีร่างกายและจิตใจในปัจจุบันอยู่เท่านั้น) ซึ่งนี่ก็เท่ากับเป็นการค้นพบสิ่งที่ทวนกระแสของสามัญสำนึกของจิตของมนุษย์เราอย่างยิ่ง (คือคนธรรมดาก็เข้าใจว่าจะมีตัวเรา-ของเราชนิดที่เป็นอมตะอยู่จริงในโลก แต่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบว่ามันไม่มีตัวเรา-ของเราเช่นนั้นอยู่จริง มีแต่ชนิดชั่วคราวเท่านั้น) ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ทรงมีทั้งเหตุผลที่สมเหตุสมผลที่สุดมาอธิบายให้เข้าใจได้ (ซึ่งก็ไม่มีใครที่จะสามารถโต้แย้งหรือคัดค้านด้วยเหตุผลได้) รวมทั้งพระองค์ยังทรงมีหลักฐานที่แน่ชัดมายืนยันถึงสิ่งที่พระองค์ทรงค้นพบนี้อีกด้วย แต่ว่าคนธรรมดาก็ยังไม่ยอมรับอยู่ดี เพราะคนธรรมดานั้นย่อมที่จะเอาความรู้สึกจากสามัญสำนึก (ที่รู้สึกว่ามีตัวเองอยู่จริงในโลก) ของตัวเอง ให้อยู่เหนือเหตุผลและหลักฐานเสมอ จึงมีแต่คนที่มีสติปัญญาสูงพอเท่านั้นที่ยอมรับ ซึ่งคนที่มีสติปัญญาสูงพอนี้ก็ย่อมที่จะมีน้อยกว่าคนธรรมดาอย่างที่จะเทียบกันไม่ได้เลยในโลก

ดังนั้นคำสอนที่ลึกซึ้งและทวนกระแสใจอย่างยิ่งของพระพุทธเจ้านี้ จึงไม่เป็นที่ยอมรับของคนธรรมดาทั่วๆไป ซึ่งนี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้คำสอนที่แท้จริงที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบได้ถูกเก็บไว้ในพระไตรปิฎก ไม่มีใครสนใจนำมาศึกษาอย่างจริงจัง จนเกือบจะสูญหายไป แต่เมื่อคำสอนที่ลึกซึ้งและทวนกระแสใจนี้ได้ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ผิดเพี้ยน จนกลายมาเป็นคำสอนที่เข้าใจได้ง่ายๆอย่างของพราหมณ์ (คือเปลี่ยนจากอนัตตามาเป็นอัตตา) จึงทำให้คนธรรมดายอมรับกันโดยทั่วไปอย่างง่ายดาย อย่างเช่นที่เป็นมาแล้วในอดีต และกำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน แล้วเราล่ะยอมรับคำสอนเรื่อง "ไม่มีตัวเราอยู่จริง" นี้หรือไม่? ถ้าไม่ยอมรับ เราก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งของโลก แต่ถ้ายอมรับ เราก็จัดว่าเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งของโลกที่สามารถเข้าใจคำสอนที่ลึกซึ้งสูงสุดของพระพุทธเจ้าได้.

เตชปญฺโญ ภิกขุ   ๓๐  ธันวาคม  พ.ศ. ๒๕๕๓

อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี

(ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net)

*********************