สูญก่อนตายเป็นอย่างไร?

ชาวพุทธในปัจจุบันส่วนใหญ่ ไม่ได้สนใจจะศึกษาคำสอนระดับสูงของพระพุทธเจ้า ให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้อง จึงทำให้ไม่เข้าใจคำสอนที่ละเอียดลึกซึ้งของพระพุทธเจ้าได้ โดยเฉพาะคำสอนเรื่องของชีวิต และต่อมาเมื่อมีคำสอนของศาสนาพราหมณ์ปลอมปนเข้ามาอยู่ในคำสอนของพุทธศาสนา จึงทำให้ชาวพุทธได้รับเอาหลักความเชื่อของศาสนาพราหมณ์เข้ามาและยึดถือว่าเป็นคำสอนของพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัว โดยศาสนาพราหมณ์จะสอนเรื่องว่าจิตหรือวิญญาณของคนและสัตว์ทั้งหลายนี้เป็นตัวตนที่เป็นอมตะ (อัตตา) ที่สามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้  และสามารถไปเกิดยังร่างกายใหม่ๆได้เรื่อยไป ซึ่งจากความเชื่อนี้เองที่ทำให้เกิดความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตาย-เกิดทางร่างกาย เรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า ผี เปรต เทวดา นางฟ้า พระอินทร์ พระพรหม ยมบาล และเรื่องเวรกรรมชนิดข้ามภพข้ามชาติ เป็นต้น ขึ้นมาอย่างที่ชาวพุทธในปัจจุบันกำลังเชื่อถือกันอยู่ ซึ่งนี่ก็คือการมีความเชื่อเรื่องการเกิดใหม่อีก โดยเชื่อว่าจะมีจิตหรือวิญญาณที่เป็นตัวเราที่เป็นอัตตาหรือตัวตนที่เป็นอมตะ ที่สามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้ และสามารถไปเกิดยังร่ายใหม่ๆได้อีกเรื่อยไป และถ้าใครมาบอกหรือมาสอนเรื่องว่าไม่มีจิตหรือวิญญาณที่จะออกไปเกิดใหม่ได้อีก ก็จะถูกมองว่าสอนผิดเพี้ยนไปทันที คือจะถูกมองว่าสอนว่า “ตายแล้วสูญ” หรือสอนว่าถ้าร่างกายตายไปแล้วตัวเราที่เป็นอัตตาหรือตัวตนอมตะนี้จะสูญหายไป

ในส่วนของพุทธศาสนานั้นจะไม่สอนว่ามีจิตหรือวิญญาณชนิดที่เป็นอมตะ ที่จะสามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้ แต่ก็ไม่ได้สอนว่าตายแล้วสูญ คือเรียกว่า ไม่ได้สอนว่าตายแล้วเกิดหรือตายแล้วสูญ แต่จะสอนว่า มันสูญมาตั้งแต่ยังไม่ตาย โดยพุทธศาสนาจะสอนว่า จิตหรือวิญญาณของคนเรานี้มันเป็นเพียงสิ่งที่ถูกปรุงแต่งหรือสร้างขึ้นมาจากร่างกายและความทรงจำจากสมองเท่านั้น มันหาได้มีตัวตนเป็นของตนเองชนิดที่จะเป็นอมตะอย่างที่ศาสนาพราหมณ์สอนไม่ เมื่อมีร่างกายและความทรงจำจากสมองมาทำงานร่วมกัน มันก็จะเกิดจิตหรือวิญญาณขึ้นมาได้ แต่เมื่อไม่มีร่างกายหรือความทรงจำจากสมอง จิตหรือวิญญาณก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นความรู้สึกของจิตที่รู้สึกว่ามีตัวเราอยู่นี้ มันจึงเท่ากับเป็นสิ่งที่ถูกปรุงแต่งหรือสร้างขึ้นมาเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้มีอยู่ตลอดเวลาอย่างที่ศาสนาพราหมณ์สอนไม่ คือเรียกง่ายๆว่า “แท้จริงมันไม่ได้มีตัวเราอยู่จริง” ส่วนสิ่งที่มีอยู่ก็เป็นเหมือนกับของมายา (หลอกลวงว่าเป็นของจริง)  หรือของชั่วคราว (ที่ต้องดับหายไปในที่สุดไม่ช้าก็เร็ว) เท่านั้น ซึ่งนี่ก็เท่ากับว่า มันไม่ได้มีตัวเราอยู่จริงในร่างกายนี้เลย และทุกชีวิตก็จะเป็นเหมือนอย่างนี้หมด

จิตของเด็กทุกคนนั้น เมื่อเกิดขึ้นมาใหม่ๆก็จะยังไม่มีความทรงจำใดๆอยู่เลย ดังนั้นทุกจิตที่เพิ่งเกิดขึ้นมาจึงยังคงว่าง หรืบริสุทธิ์เหมือนกันหมด คือไม่มีทั้งปัญญาหรือความยึดถือว่ามีตัวเราใดๆทั้งสิ้น แต่เมื่อจิตได้รับรู้สิ่งต่างจากสภาพแวดล้อมมากๆเข้า ก็จึงทำให้เกิดความทรงจำขึ้นมา แล้วก็เกิดความคิดขึ้นมาในที่สุด ซึ่งความยึดถือว่ามีตัวเรานี้ก็เกิดมาจากความคิดหรือการปรุงแต่งของจิตที่อาศัยความทรงจำมาปรุงแต่งนี่เอง คือเรียกว่า มีจิตที่บริสุทธิ์เกิดขึ้นมาก่อน แล้วความรู้สึกและความยึดถือว่ามีตัวเรานี้จึงเกิดขึ้นมาทีหลัง ซึ่งจากสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันของเด็กแต่ละคนนั่นเอง ที่ทำให้จิตของเด็กแต่ละคนมีความทรงจำที่แตกต่างกันไป แล้วก็ทำให้จิตของเด็กแต่ละคนนั้นเกิดความรู้สึกและยึดถือที่แตกต่างกันขึ้นมา อย่างเช่น รู้สึกว่าตัวเองเป็นชายหรือหญิงไปตามสภาพร่างกาย รู้สึกว่าตัวเองมีชื่อนั้น นามสกุลนี้ มีลักษณะร่างกายเป็นอย่างนี้ มีเสียงเป็นอย่างนี้ มีสีผิวอย่างนี้ มีพ่อแม่ชื่อนั้นชื่อนี้ มีพี่น้องและญาติอย่างนี้ มีภาษาพูดอย่างนี้ และมีสิ่งของนี้เป็นของเรา เป็นต้น

สรุปได้ว่า ศาสนาพราหมณ์จะสอนว่า มีตัวเราที่เป็นอมตะที่เป็นจิตที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้และสามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วเพื่อไปเกิดใหม่ได้ ดังนั้นถ้าใครมีความเชื่อว่าตายไปแล้วจะไม่มีจิตไปเกิดใหม่ได้อีกเขาก็จะบอกว่านั่นคือการสอนว่า “ตายแล้วสูญ” คือตัวเรานี้จะดับสูญหรือสูญหายไปเลย แต่พุทธศาสนาจะสอนว่า “แท้จริงตัวเรานี้มันไม่ได้มีอยู่จริง” ส่วนที่จิตมันรู้สึกว่ามีตัวเราอยู่นี้ มันก็เป็นแค่ตัวเรามายาหรือตัวเราชั่วคราวเท่านั้น เมื่อมีร่างกายและความทรงจำจากสมองมาทำงานร่วมกัน ตัวเรามายาหรือชั่วคราวนี้จึงจะเกิดขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงเท่ากับว่ามันไม่ได้มีตัวเราจริงๆอยู่ในร่างกายขณะนี้เลย คือเรียกว่ามันสูญหรือว่างเปล่าจากความมีตัวตนที่เป็นอมตะมาตั้งแต่ร่างกายยังไม่ตายเลยทีเดียว แม้ตายไปแล้วมันก็ยิ่งไม่มีแม้แต่ตัวตนมายาหรือชั่วคราวนี้เข้าไปอีก ซึ่งการสอนลักษณะนี้ไม่ได้เข้าข่ายว่าสอนว่า “ตายแล้วสูญ” อย่างที่มีผู้กล่าวหา เพราะนี่คือการสอนว่า “มันสูญมาตั้งแต่ร่างกายยังไม่ตาย” คือมันไม่ได้มีตัวเราอยู่จริงเลยตั้งแต่ร่างกายนี้ยังไม่ตาย จึงขอให้ทุกคนพยายามศึกษาให้เข้าใจหลักพุทธศาสนาในเรื่องนี้ให้ถูกต้อง

เตชปญฺโญ ภิกขุ.   ๓๑ ม.ค. ๒๕๕๔

อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี

(ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net)

***********************