ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและมีอยู่นี้ ไม่ได้เป็นสิ่งสิ่งนั้นจริงๆ

ธรรมจักษุ หรือ ดวงตาเห็นธรรม ก็คือ การเกิดปัญญาเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในความจริงพื้นฐานของทุกสิ่ง ซึ่งความจริงพื้นฐานนั้นก็คือ ความเป็นอนัตตา ที่หมายถึง ความไม่ใช่ตัวตนจริงๆของทุกสิ่ง คือทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและมีอยู่นี้ ไม่ได้เป็นสิ่งสิ่งนั้นจริงๆ อย่างเช่น รถยนต์ก็ไม่ได้เป็นรถยนต์จริงๆ ต้นไม้ก็ไม่ได้เป็นต้นไม้จริงๆ คนก็ไม่ได้เป็นคนจริงๆ ร่างกายก็ไม่ได้เป็นร่างกายจริงๆ จิตก็ไม่ได้เป็นจิตจริงๆ ความรู้สึกว่าเป็นเราก็ไม่ได้เป็นเราจริงๆ เป็นต้น

ทำไมจึงบอกว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและมีอยู่นี้ ไม่ได้เป็นสิ่งสิ่งนั้นจริงๆ ? ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องศึกษาจากการที่พระสารีบุตรสมัยที่ยังไม่ได้บวชและได้ฟังธรรมย่อๆครั้งแรกจากพระอัสสชิความว่า "สิ่งทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นมาจากเหตุ.." แล้วเกิดดวงตาเห็นธรรมและบรรลุเป็นพระอริยะบุคคลขั้นโสดาบันขึ้นมา

การฟังธรรมเพียงเท่านี้ทำให้เกิดดวงตาเห็นธรรมได้อย่างไร? ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องย้อนกลับไปถึงว่า พระสารีบุตรสมัยนั้นได้พยายามศึกษาหาวิธีการดับทุกข์ของจิตใจ (นิพพาน) อยู่ก่อนแล้ว แต่ก็ยังไม่พบ จนมาได้ฟังธรรมะจากพระอัสสชิก็เกิดปัญญาขึ้นมา ซึ่งปัญญานี้เองที่ทำให้อริยมรรคมีองค์ ๘ เกิดขึ้นมาครบถ้วน

ปัญญาสูงสุดคืออะไร? ปัญญา คือ ความรอบรู้ในเรื่องการดับทุกข์ ซึ่งก็คือความรอบรู้ในหลักอริยสัจ ๔ โดยหัวใจของอริยสัจ ๔ ก็คือ ความเข้าใจและเห็นแจ้งถึงความเป็นอนัตตาของทุกสิ่งโดยเฉพาะในจิตใจ คือเมื่อเข้าใจถึงความเป็นอนัตตาของจิตใจแล้วก็ทำให้เกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า มันไม่มีเราอยู่จริง

ทำไมจึงบอกว่า มันไม่มีเราอยู่จริงซึ่งก็ต้องย้อนกลับไปหาสิ่งที่พระอัสสชิแสดงที่ว่า "สิ่งทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นมาจากเหตุ.." คือเมื่อพิจารณาจากข้อความประโยคนี้แล้วก็เข้าใจได้ว่า "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องอาศัยเหตุมากมายมาปรุงแต่งหรือสร้างสรรค์ขึ้นมา" ดังนั้นจึงเท่ากับว่า ไม่มีสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆโดยไม่มีเหตุ และเมื่อเหตุยังตั้งอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นก็จะยังตั้งอยู่ เมื่อเหตุดับหายไป สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ต้องดับหายไปด้วยทันที และสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ก็ไม่สามารถตั้งอยู่ไปชั่วนิรันดรได้ (ถ้าสมมติสิ่งที่เกิดขึ้นมาสามารถตั้งอยู่ไปชั่วนิรันดรได้ มันก็จะกลายเป็นสิ่งอมตะหรืออัตตาไปทันที) คือไม่ช้าก็เร็วสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหลายก็ต้องแตกสลาย (ใช้กับวัตถุ) หรือ ดับหายไป (ใช้กับจิต) อย่างแน่นอน ซึ่งนี่ก็แสดงถึงว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหลาย ล้วนไม่ได้เป็นสิ่งสิ่งนั้นจริงๆ เพราะมันเป็นเพียง "สิ่งปรุงแต่งชั่วคราว" เท่านั้น และเมื่อพิจารณาถึงร่างกายและจิตใจของเราแล้ว เราก็จะพบว่า มันก็ต้องอาศัยเหตุมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น (คือร่างกายก็ต้องอาศัย อาหาร น้ำ ความร้อน และอากาศบริสุทธิ์เพื่อมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นและมีชีวิตอยู่ ส่วนจิตก็ต้องอาศัยร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อเกิดขึ้นมาอีกที) ดังนั้นจึงเท่ากับว่า จะหาสิ่งที่เป็นตัวจิตเองจริงๆไม่มี และเมื่อตัวจิตเองจริงๆก็ไม่มี จึงทำให้เข้าใจได้ว่า ความรู้สึกว่า "มีตัวเรา" ที่เกิดขึ้นมาจากจิต ไม่ได้มีอยู่จริงๆด้วย

ดวงตาเห็นธรรมเกิดขึ้นได้อย่างไร? คือเมื่อเข้าใจอย่างแจ่มชัดด้วยเหตุผลดังนี้แล้ว ก็จะทำให้มองเห็นสุญญตา คือความว่างจากตัวตนที่แท้จริงในทุกๆสิ่ง (ซึ่งนี่คือปัญญา) และเมื่อเห็นสุญญตาอย่างแรงกล้า (ด้วยสมาธิ) จึงทำให้อริยมรรคเกิดขึ้นมาอย่างครบถ้วน แล้วอริยมรรคก็ทำหน้าที่กำจัดความทุกข์ของจิตใจที่กำลังเกิดอยู่ให้ดับลงทันที (แม้เพียงชั่วคราว) เมื่อจิตไม่มีทุกข์ มันก็สงบเย็น (นิพพาน) เมื่อนิพพานปรากฏ ก็ทำให้เกิดดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา

เตชปัญฺโญ ภิกขุ   ๙ มิ.ย. ๒๕๕๗

อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี

(ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net)

 

*********************