หลักกาลามสูตรช่วยให้ประเทศชาติสงบสุขได้

หลักกาลามสูตรนั้นเป็นหลักพื้นฐานในการสร้างปัญญาของชาวพุทธ สำหรับนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตเพื่อให้เกิดความสงบสุขและหลุดพ้นจากความทุกข์  ซึ่งหลักกาลามสูตรนั้นจะสอนให้ละเว้นความเชื่อทั้งหลาย แล้วสอนให้พิสูจน์จนเกิดผลจริงก่อนจึงค่อยปลงใจเชื่อ ซึ่งหลักกาลามสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้นั้นสรุปได้ว่า

๑. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะว่า ฟังจากคนอื่นเขาบอกมา

๒. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะว่า เห็นเขาทำตามๆกันมา

๓. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะว่า มีการล่ำลือกันอยู่อย่างกระฉ่อน

๔. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะว่า มีตำราอ้างอิง

๕. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะว่า มีเหตุผลตรงๆมารองรับ (ตรรกะ)

๖. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะว่า มีเหตุผลแวดล้อมมารองรับ (นัยยะ)

๗. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะว่า สามัญสำนึกของเรามันยอมรับ (คาดเดา)

๘. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะว่า มันตรงกับความเห็นที่เรามีอยู่ก่อน

๙. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะว่า ผู้สอนนั้นดูภายนอกแล้วน่าเชื่อถือ

๑๐. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะว่า ผู้สอนนี้คือครูอาจารย์ของเราเอง

เมื่อเราได้เรียนรู้หลักคำสอนใดมา ก่อนอื่นก็ให้นำมาพิจารณาดูก่อนว่ามีโทษหรือมีประโยชน์ ถ้าเห็นว่ามีโทษก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าเห็นว่ามีประโยชน์ ไม่มีโทษ ก็ให้นำมาทดลองปฏิบัติดูก่อน ถ้าลองปฏิบัติเต็มมาตรฐานแล้ว ความทุกข์ไม่ดับลงหรือลดลง ก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าทดลองปฏิบัติดูแล้วบังเกิดผลเป็นความดับลงหรือลดลงของความทุกข์จริง จึงค่อยปลงใจเชื่อ และปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นต่อไป

หลักกาลามสูตรนี้เป็นหลักสำคัญที่จะช่วยให้เกิดปัญญาที่แท้จริง  ซึ่งเมื่อมีปัญญาแล้วก็จะไม่งมงาย (คือไม่นับถือสิ่งที่ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตหลุดพ้นจากปัญหาได้จริง), ไม่ถูกหลอก (คือไม่ถูกใครมาหลอกให้เกิดความเสียหายหรือไม่ได้รับสิ่งที่เราควรจะได้รับ), ไม่หลงผิด (คือไม่หลงใช้ชีวิตที่ผิดพลาด จนทำให้ชีวิตต้องประสบกับปัญหาหรือความทุกข์ความเดือดร้อน), และรู้จักการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง (คือรู้จักใช้ชีวิตอย่างถูกต้องตามที่ธรรมชาติกำหนดมา)

ทุกวันนี้ประเทศชาติของเรากำลังเกิดปัญหามากมาย โดยเฉพาะปัญหาการคอร์รัปชั่นและความแตกแยกที่สร้างให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมาอีกมากมาย  ซึ่งนี่ก็เกิดมาจากการขาดปัญญา ซึ่งการไม่มีปัญญาก็เพราะถูกความเชื่อครอบงำ อย่างเช่น การเลือกผู้ที่จะเข้าไปบริหารประเทศ ที่เมื่อมีคนเขาบอกมา หรือเห็นว่าเขาน่าเชื่อถือเพราะเขาพูดจาน่าฟัง และมีคนนับถือเขามากมาย หรือเห็นว่าเขาเป็นคนดีเพราะเขาเอาเงินหรือสิ่งของมาให้เราเพียงเล็กน้อย หรือเห็นว่าเขาชอบทำบุญ และชอบช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากเพียงเล็กน้อย เพื่อเอาหน้าเอาตาหรือทำไปเพื่อต้องการสร้างภาพให้ดูว่าเขาเป็นคนดีที่พึ่งพาได้จริง เป็นต้น เราก็เชื่อเขาและเลือกเขาเสียแล้ว โดยไม่ได้ดูจากผลงานจริงๆที่เขาได้ทำลงไปว่าเขาได้ทุ่มเททำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวมจริงหรือไม่? หรือเขาได้ช่วยสร้างสังคมให้สงบสุขจริงหรือไม่? หรือว่าเมื่อเราเลือกเขาเข้าไปบริหารประเทศแล้วเขายิ่งร่ำรวยขึ้น แต่คนยากคนจนยังคงเดือดร้อนอยู่เหมือนเดิม? หรือประเทศชาติยังล้าหลังไม่เจริญ และเต็มไปด้วยปัญหา รวมทั้งยังมีแต่ความแตกแยกอยู่เหมือนเดิม?

สรุปได้ว่า หลักกาลามสูตรนี้เป็นหลักสำคัญที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้เพื่อช่วยให้ชีวิตของเราและสังคมหลุดพ้นจากปัญหาที่กำลังประสบอยู่ในปัจจุบัน แต่ชาวพุทธกลับไม่สนใจนำมาปฏิบัติอย่างจริงจัง ซ้ำยังพยายามแปลความหมายให้ผิดเพี้ยนไปเป็นว่า "ให้พิจารณาไตร่ตรองก่อนจึงค่อยเชื่อ" เท่านั้น ซึ่งการพิจารณาไตร่ตรองนั้นมันก็ยังเป็นแค่การใช้เหตุผลหรือเชื่อตามตำราหรือเชื่อตามคนอื่นเท่านั้น ซึ่งก็เท่ากับว่ายังไม่ได้ปฏิบัติหรือพิสูจน์ให้เห็นผลจริงก่อนจึงค่อยเชื่อตามที่พระพุทธเจ้าสอนเลยแม้แต่น้อยนิด จึงทำให้ชีวิตของเราและสังคมประเทศชาติของเรา ยังคงมีแต่ปัญหาอยู่มากมายอย่างเช่นในปัจจุบัน แต่ถ้าเราจะได้นำเอาหลักกาลามสูตรนี้มาปฏิบัติกันอย่างจริงจัง ความสงบสุขของชีวิตและสังคมรวมทั้งประเทศชาติก็จะกลับคืนมา

เตชปัญโญ ภิกขุ

๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๗

อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี

ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.whatami.net

 

*********************