ต้อนรับน้องใหม่ด้วยอะไร?

ในมหาวิทยาลัยต่างๆนั้นจะมีประเพณีต้อนรับน้องใหม่ ซึ่งปัจจุบันได้เกิดมีปัญหาขึ้นมาว่ารุ่นพี่ทำเกินกว่าเหตุ เช่นทำให้รุ่นน้องบาดเจ็บ หรือทำอนาจาร หรือล่วงละเมิดทางเพศที่เรียกว่ารับน้องอย่างโหดๆ จนเป็นข่าวขึ้นมาและมีการสั่งห้ามต้อนรับน้องใหม่ในทุกกรณี จนทำให้นิสิตนักศึกษาบางกลุ่มลุกขึ้นมาประท้วงการสั่งห้ามนี้ โดยอ้างว่าประเพณีการรับน้องใหม่นี้มีผลดีตรงที่ทำให้รุ่นพี่รุ่นน้องรักใคร่สามัคคีกัน ส่วนที่เป็นข่าวไม่ดีนั้นเป็นส่วนน้อยที่ต้องแก้กันต่อไป การที่จะมาเอาส่วนไม่ดีเพียงเล็กน้อยมาลบล้างส่วนดีที่มากมายนั้นไม่ควร

ตามหลักแล้วประเพณีนั้นเป็นสิ่งดี แต่การเอาประเพณีมาทำให้เกิดความเสียหายนั้นเป็นสิ่งไม่ดี  ดังนั้นจึงต้องแก้กันที่คน ไม่ใช่แก้กันที่ประเพณี แต่ถ้าแก้ที่คนไม่ได้ ก็ต้องมาแก้กันที่ประเพณีอีกเหมือนกัน คือเมื่อก่อนมีคนดีมาก ก็ต้อนรับน้องใหม่กันด้วยความดี แต่มาสมัยนี้สังคมฟอนแฟะ คนไม่ดีมีมาก จึงต้อนรับน้องใหม่กันไม่ดี ดังนั้นเมื่อแก้ที่คนไม่ได้ก็ควรเลิก แต่การเลิกก็ต้องดูว่าที่ใดมีปัญหาก็ยกเลิกไป ส่วนที่ใดไม่มีปัญหาก็น่าจะให้ทำต่อไปได้  และควรมีหลายๆฝ่ายเข้าไปดูแล ไม่ใช่ให้รุ่นพี่แอบพารุ่นน้องไปรับน้องใหม่กันเองโดยผู้ปกครองหรือครูอาจารย์ไม่รู้เรื่อง

แต่ปัญหามันไม่ได้หมดแค่ตรงนั้น  คือที่ไหนๆเขาก็บอกว่าทำกันอย่างดีทั้งนั้น แต่พอเอาเข้าจริงกลับมีปัญหาปูดออกมาจนได้ แล้วก็อ้างกันว่าเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลหรือเฉพาะสถานที่ไม่ควรเหมารวมกันหมด  ซึ่งสถานที่ที่ไม่เป็นข่าวนั้นอาจจะมีเรื่องรุนแรงกว่าที่เป็นข่าวก็ได้ แต่ไม่ได้เปิดเผย เพราะรุ่นพี่บังคับรุ่นน้องไม่ให้พูด ใครพูดก็จะโดนหนัก เรื่องจึงเงียบ

ที่จริงเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับกับปัญหาสังคมอื่นๆ เช่นปัญหายาเสพติด ปัญหาเด็กวัยรุ่นยกพวกตีกัน เป็นต้น แต่มันกลับมาเป็นปัญหาใหญ่เพราะเราปล่อยให้มันลุกลามจนใหญ่โตขึ้นมา

เรื่องของเรื่องก็ไม่มีอะไร เป็นเพียงเรื่องของความบ้าอำนาจของคนเราที่ทำอะไรไปด้วยความบ้าอำนาจจนลืมตัวคิดว่าจะไม่มีปัญหาอะไรตามมา คือรุ่นพี่บางคนคิดว่าจะไม่มีรุ่นน้องคนไหนกล้าโวยวายถ้าทำอะไรเกินขอบเขต จึงได้เกิดการกระทำที่ไม่ดีขึ้นมา ซึ่งสติยั้งคิดของรุ่นพี่อาจไม่มีเพราะตนเคยถูกกระทำมาก่อน จึงมาระบายเอากับรุ่นน้อง ซึ่งมันสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายถ้าสภาพแวดล้อมมันอำนวยคือไม่มีคนอื่นมาเห็นและรุ่นพี่มีความบ้าบิ่นที่เก็บกดเอาไว้มาก

สังคมปัจจุบันนั้นเป็นประชาธิปไตยกันจนเคยตัว คือเกินขอบเขตจนไปล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของคนอื่นจึงเกิดปัญหาขึ้นมา เด็กวัยรุ่นสมัยนี้จะเอาแต่อิสรเสรีแต่ไมคิดถึงคนอื่น พ่อแม่ก็เลี้ยงดูลูกมาด้วยการตามใจจนเด็กเอาแต่ใจเสียจนเคยตัวจนติดเป็นนิสัยแล้วก็มาแสดงออกกับคนอื่น หรือพ่อแม่บางคนก็เลี้ยงดูลูกตามยะถากรรม คือปล่อยมันจะไปทำอะไรก็เรื่องของมัน ซึ่งจิตของคนเรานั้นเมื่อปล่อยมันก็มักจะตกลงไปในทางต่ำได้โดยง่าย  นี่เองเราจึงมีเด็กไม่ดีเต็มบ้านเต็มเมืองมาก่อปัญหาให้สังคมอย่างไม่รู้จักจบสิ้น

การแก้ไขระยะยาวนั้นต้องมาแก้กันที่พ่อแม่ผู้ปกครอง หรือครูอาจารย์ที่ต้องสนใจสอดส่องดูแลอบรมลูกหลาน หรือศิษย์อย่างใกล้ชิด พยายามปลูกฝังศีลธรรมให้มาก ซึ่งคนสอนก็ต้องทำตัวเป็นตัวอย่างก่อนด้วย  ส่วนการแก้ปัญหาระยะสั้นก็ต้องควรแก้กันไปตามเหตุที่เกิดเฉพาะหน้า จะสั่งยกเลิกหรือจะควบคุมใกล้ชิดก็ว่ากันไปตามแต่บุคคลหรือตามแต่สถานที่ ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด คือยกเลิกไปเลย หรือลงโทษขั้นสูงสุดกับผู้ที่ดูแลหรือรุ่นพี่ที่กระทำเกินขอบเขต อย่าไปสงสารเพราะจะทำให้กฎข้อบังคับไม่ศักดิ์สิทธิ์ จนคนไม่เคารพกฎและพากันแหกกฎกันหมด เราเอาคนดีไว้ดีกว่า ถึงจะมีน้อยก็ยังดีกว่ามีคนเลวเต็มมหาวิทยาลัย.

เตชปัญโญ ภิกขุ

อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี


(ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net)


*********************