ทำไมจึงต้องมีหลายศาสนา?

ศาสนาเป็นสิ่งที่อยู่คู่มนุษย์มาช้านานแล้ว มนุษย์แทบทุกคนล้วนนับถือศาสนา ซึ่งต่างกับสัตว์เดรัจฉานที่ไม่ต้องมีศาสนา ศาสนามีเพื่ออะไร? ทำไมมนุษย์จึงต้องมีศาสนา? ซึ่งเราจะมาหาคำตอบกันต่อไป

ก่อนอื่นเราจะมาดูการดำเนินชีวิตของพวกสัตว์เดรัจฉานที่ดำเนินชีวิตไปตามสัญชาติญาณ คือเมื่อหิวก็หากิน เมื่อกลัวก็หนี เมื่อความกำหนัดเกิดขึ้นตามธรรมชาติก็เสพกาม เมื่อง่วงก็นอน เป็นต้น คือพวกมันเพียงทำไปตามสัญชาติญาณที่มีมาตั้งแต่กำเนิดโดยไม่ต้องใช้ความคิดอะไรเลย และพวกมันก็มีชีวิตอยู่รอดกันมาได้อย่างปกติสุขตามระดับของมัน

มนุษย์นั้นแรกเริ่มก็ใช้ชีวิตเหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน แต่มนุษย์มีความจำและความคิดมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน ดังนั้นมนุษย์จึงทำอะไรไปเกินกว่าสัญชาติญาณดั้งเดิม ซึ่งเป็นความต้องการที่เกินจำเป็นที่เรียกว่า กิเลส เช่นแม้ไม่หิวก็กิน แม้ความกำหนัดตามธรรมชาติจะไม่เกิดก็กระตุ้นให้เกิดขึ้นเพื่อเสพกาม รวมทั้งการฆ่ากัน ทำร้ายกัน เบียดเบียนกันเพื่อแย่งชิงอาหาร แย่งชิงทรัพย์สมบัติ แย่งชิงสิ่งของ แย่งชิงกามารมณ์ แย่งชิงความเป็นใหญ่ เป็นต้น จนทำให้เกิดความเดือดร้อนขึ้นแก่ทั้งสังคมมนุษย์เองและแม้แก่ทั้งพืชและสัตว์เดรัจฉานด้วย

จากความเดือดร้อนของมนุษย์นี้เองที่จำเป็นที่มนุษย์จะต้องมีกฎเกณฑ์ในการดำเนินชีวิต จึงทำให้มีการบัญญัติข้อปฏิบัติขึ้นมาเพื่อควบคุมความประพฤติของมนุษย์ไม่ให้เบียดเบียนกัน เพื่อให้เป็นอยู่กันอย่างปกติสุข ที่เรียกว่ากฎหมายขึ้นมา ซึ่งก็ทำให้สังคมมนุษย์มีความปกติสุขขึ้น แต่กฎหมายนั้นเป็นการควบคุมจากภายนอก ซึ่งก็เท่ากับมากดทับความต้องการภายในเอาไว้ไม่ให้แสดงความต้องการออกมา ดังนั้นจึงยังคงมีการกระทำที่จะแหกกฎข้อบังคับของกฎหมายอยู่ไม่มากก็น้อย และบางทีก็มีการใช้กฎหมายเพื่อเอาเปรียบผู้อื่น จึงทำให้กฎหมายนี้ยังไม่สามารถทำให้เกิดความสงบสุขในสังคมมนุษย์ได้อย่างแท้จริง

เมื่อมนุษย์ยังไม่มีความสงบสุข มนุษย์จึงต้องหาวิธีการที่จะควบคุมต้นตอของปัญหา คือต้องควบคุมกิเลสภายในจิตใจ หรือควบคุมความต้องการที่เกินความจำเป็นของมนุษย์เอง เพื่อให้เกิดความสงบสุขขึ้นมา ซึ่งวิธีการต่างๆที่มนุษย์นำมาปฏิบัติเพื่อควบคุมกิเลสหรือควบคุมความต้องการที่เกินจำเป็นของมนุษย์นี้เองที่เป็นต้นเหตุให้เกิดศาสนาต่างๆขึ้นมาในโลก

ผู้ที่มีความเข้าใจชีวิตว่าความทุกข์ความเดือดร้อนของมนุษย์นั้นมาจากกิเลสภายในจิตใจของมนุษย์เอง และรวมทั้งยังมีความสามารถสั่งสอนผู้อื่นได้จึงได้ประกาศหลักการปฏิบัติเพื่อควบคุมกิเลสให้ผู้อื่นได้ปฏิบัติตาม ซึ่งผู้ที่เริ่มสั่งสอนนี้เองที่เรียกว่าเป็นศาสดา ที่หมายถึง ผู้สั่งสอน

แต่มนุษย์นั้นมีหลายเผ่าพันธุ์และมีความเชื่อรวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างกัน ดังนั้นศาสดาของแต่ละศาสนาจึงต้องใช้กุศโลบายหรืออุบายที่ดีงามในการสอนเพื่อให้กลุ่มผู้คนของตนปฏิบัติตามได้โดยง่าย ดังนั่นหลักคำสอนของแต่ละศาสดาจึงดูผิวเผินแล้วจะแตกต่างกัน แต่ถ้าพิจารณาอย่างลึกซึ้งแล้วจะมีหัวใจที่ตรงกัน คือเพื่อควบคุมกิเลสไม่ให้กำเริบออกมา

ศาสนาที่มีพระเจ้าก็สอนให้เชื่อพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าก็สอนให้รักผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ซึ่งก็เท่ากับเป็นการฝืนกิเลสหรือทำลายกิเลสนั่นเอง ส่วนศาสนาที่ไม่มีพระเจ้าก็สอนให้เชื่อธรรมชาติ ซึ่งตามธรรมชาตินั้นถ้าใครทำชั่วหรือเบียดเบียนผู้อื่นก็จะได้รับผลชั่วตอบแทน แต่ถ้าใครทำดี ช่วยเหลือผู้อื่นก็จะได้รับผลดีตอบแทน ซึ่งก็เท่ากับเป็นการฝืนกิเลสหรือทำลายกิเลสเหมือนกัน ซึ่งนี่คือจุดหมายที่เหมือนกันของทุกศาสนาที่แท้จริง

แต่ในปัจจุบันผู้คนได้เหินห่างศาสนาที่แท้จริงกันมากขึ้น ถึงแม้ตนเองจะปฏิญาณตนว่าตนเองนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งอย่างเคร่งครัดก็ตาม ซึ่งการเหินห่างนั้นก็ได้แก่การปฏิบัติที่ตามใจกิเลสมากขึ้น คือมีการเบียดเบียนชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นมากขึ้น แต่ปากก็บอกว่าตนเองมีศาสนาหรือนับถือศาสนาอย่างเคร่งครัด ซึ่งนี่เองที่ทำให้ศาสนาที่แท้จริงนั้นหาได้ยากในสังคมมนุษย์ในปัจจุบัน แต่กลับมีคำสอนที่แต่งเติมขึ้นมาใหม่ที่เป็นเปลือกนอก หรือบางทีก็ขัดแย้งกับคำสอนดั้งเดิมขึ้นมามากมาย ที่เป็นการปฏิบัติที่ส่งเสริมกิเลสไม่มากก็น้อย แล้วก็นำมาสั่งสอนกันอย่างแพร่หลาย จนยึดถือกันเป็นคำสอนหลักของศาสนาไปในที่สุด นี่เองที่ทำให้ศาสนาไม่สามารถช่วยให้เกิดความสงบสุขได้เหมือนแก่ก่อน จนทำให้บางคนประกาศว่าตนไม่มีศาสนา คือไม่นับถือศาสนาอะไรเลย เพราะหมดศรัทธาในคำสอนเปลือกนอกของศาสนาทั้งหลายในปัจจุบัน

สรุปได้ว่า แท้จริงแล้วทุกศาสนาจะสอนให้บังคับใจตนเอง ไม่ตามใจกิเลส ซึ่งก็คือการไม่ทำชั่ว ไม่เบียดเบียนผู้อื่น และให้ทำความดี คือรักผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าเราทุกคนไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไรก็ตาม จะปฏิบัติตามหลักอันเป็นแก่นแท้ของศาสนาตนเองดังนี้แล้ว ก็จะทำให้บังเกิดความสงบสุขขึ้นมาแก่สังคมมนุษย์ได้อย่างแท้จริง แต่ถ้าเรายังคงเอาสิ่งที่ไม่ใช่แก่นแท้มาปฏิบัติกันอยู่อย่างเช่นในปัจจุบัน ความสงบสุขก็จะไม่มีทางบังเกิดขึ้นมาได้ และไม่ช้าความพินาศก็จะบังเกิดขึ้นแก่สังคมของเราและแก่มวลมนุษย์โดยรวมอย่างแน่นอน.

เตชปญฺโญ ภิกขุ
อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี
(ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net)