สิ้นป่าก็สิ้นใจ

“ทุกสิ่งย่อมเกิดมาจากเหตุ” ซึ่งนี่คือหลักสำคัญของธรรมชาติ การที่สิ่งใดจะเกิดขึ้นมาและดำรงอยู่ได้โดยปกติสุขนั้นจะต้องอาศัยเหตุปัจจัยมาช่วยสร้างและสนับสนุนให้เกิดขึ้น ถ้าขาดเหตุปัจจัยสิ่งที่เกิดขึ้นมานั้นย่อมที่จะดำรงอยู่ไม่ได้ หรือถ้าเหตุปัจจัยไม่สมบูรณ์ สิ่งนั้นย่อมดำรงอยู่ด้วยความยากลำบากหรือมีทุกข์มากน้อยไปตามความไม่สมบูรณ์นั้น

โลกเมื่อครั้งยังไม่มีสิ่งที่มีชีวิตก็ว่างเปล่า เมื่อมีน้ำเกิดขึ้นมาจึงเป็นเหตุให้เริ่มเกิดสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆขึ้นมา และเมื่อมีพืชเกิดขึ้นมาเป็นป่าไม้ไปทั่วโลก จึงเกิดมีสัตว์ป่านานาชนิดและมนุษย์ขึ้นมา คืออาศัยป่าไม้เป็นเหตุปัจจัยทำให้เกิดมนุษย์ขึ้นมา

ป่าไม้เป็นระบบนิเวศน์ที่บอบบางที่ต้องมีความสมดุลของสภาพแวดล้อมที่ถูกต้องตามระบบของมัน มันจึงจะดำรงสภาพป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์เอาไว้ได้ คือต้องมีต้นไม้หลากชนิด ต้องมีพื้นที่กว้างมาก และต้องมีสัตว์ป่ามากชนิดเพียงพอ โดยต้นไม้ที่มากนั้นก็จะช่วยให้เกิดความอุดมสมบูรณ์และความชุ่มชื้นมากจนมีฝนตกชุกตามฤดูกาลอย่างเพียงพอ ส่วนการมีสัตว์ป่านั้นจะช่วยให้เกิดการแพร่พันธุ์ของพืชชนิดต่างๆไปทั่วพื้นที่ของป่า ซึ่งสัตว์ป่านั้นก็จะมีการควบคุมกันเองอยู่แล้วในตัวเพื่อไม่ให้มีสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินควรอันจะทำให้ป่าเกิดความเสียสมดุล

มนุษย์เป็นสิ่งที่มีชีวิตที่ต้องอาศัยอากาศบริสุทธิ์หายใจ ต้องดื่มน้ำบริสุทธิ์ ต้องกินอาหารบริสุทธิ์ ต้องอยู่ในอุณหภูมิที่พอเหมาะ ต้องมีเสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรคเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ที่เรียกว่าปัจจัย ๔ ซึ่งปัจจัย ๔ นี้ย่อมหาได้ง่ายจากป่าไม้ทั้งสิ้น

ป่าไม้จะสร้างออกซิเจนให้เราหายใจ ป่าไม้จะช่วยให้มีฝนตกและมีน้ำบริสุทธิ์ให้เราดื่ม ป่าไม้จะช่วยให้ดินอุดมสมบูรณ์จนเพาะปลูกพืชมาเป็นอาหารให้เรากิน ป่าไม้จะช่วยปรับอุณหภูมิให้พอเหมาะแก่การที่เราจะมีชีวิตอยู่ ป่าไม้จะมีพืชที่เอามาทำเป็นเสื้อผ้าให้เราสวมใส่ ป่าไม้จะมีพืชที่ให้เราเอามาสร้างเป็นบ้านให้อาศัย และป่าไม้จะมีพืชที่เอามาทำเป็นยารักษาโรคเมื่อเราเกิดเจ็บไข้ขึ้นด้วย เรียกได้ว่าป่าไม้คือต้นกำเนิดของชีวิตเราทุกคนและเป็นผู้เลี้ยงดูเราทุกคนให้เป็นสุข เปรียบเหมือนกับผู้ที่มีพระคุณอย่างยิ่งของเราทุกคน

แต่มนุษย์นั้นกลับเป็นสัตว์ที่เนรคุณต่อผู้มีพระคุณ ด้วยการทำลายป่าไม้ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ซึ่งการทำลายป่าโดยตรงก็คือการเข้าไปตัดเอาไม้ในป่าออกมาขายสร้างบ้านเรือนใหญ่โตสวยหรูเกินความจำเป็นอย่างมากมาย และยังเอามาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์หรือสิ่งของประดับตกแต่งที่เกินความจำเป็นอย่างมากมายอีกด้วย และแม้การเผาป่า การทำร้ายสัตว์ป่า และบุกรุกพื้นที่ป่าก็เป็นการทำลายป่าโดยตรงด้วย ส่วนการทำลายป่าโดยอ้อมก็คือการกระทำที่ส่งเสริมให้เกิดการทำลายป่าโดยตรงนั่นเอง ซึ่งการกระทำที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการทำลายป่านั้นก็มีมากมายแต่สรุปอยู่ที่การกิน การใช้อย่างฟุ่มเฟือยของมนุษย์เราที่เรียกว่าเป็นความเจริญทางวัตถุนั่นเอง

ความเจริญทางวัตถุนั้นจะทำให้เกิดการนำเอาทรัพยากรจากป่าคือต้นไม้ใหญ่ๆมาใช้สอยอย่างมากมาย และยังทำให้เกิดการทำลายพื้นที่ป่าเพื่อนำเอาพื้นที่ป่ามาปลูกสร้างบ้านเรือนหรือเพื่อเพาะปลูกพืชที่ไม่ได้มีคุณค่าแก่การนำเอามากินเป็นอาหารเลย หรือเพื่อเอาพื้นที่ป่ามาปลูกพืชเพื่อใช้เลี้ยงสัตว์ให้มนุษย์กินเนื้อหรือดื่มนมของมันอีกด้วย ยิ่งมนุษย์มีความเจริญทางวัตถุมากเท่าใด มนุษย์ก็จะกิน จะใช้ กันแต่ในสิ่งที่หรูหราฟุ่มเฟือยที่เกินความจำเป็นกันมากยิ่งขึ้น และมันก็จะทำให้เกิดการทำลายป่าไม้ของโลกให้พินาศย่อยยับลงมากยิ่งขึ้นตามไปด้วยเสมอ

ถ้ามนุษย์จะกิน จะใช้ปัจจัย ๔ อย่างพอเหมาะพอควร ไม่มากมายจนเกินไป ป่าไม้และสัตว์ป่าของโลกก็ย่อมที่จะไม่ถูกทำลายลงอย่างมากมายจนเสียสมดุล มนุษย์ก็ยังคงที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุขไม่เดือดร้อน เพราะยังมีป่าไม้มากเพียงพอที่จะยังรักษาสมดุลของธรรมชาติที่พอเหมาะแก่การดำรงชีวิตของมนุษย์เอาไว้ได้

แต่การที่มนุษย์เนรคุณต่อป่าไม้ด้วยการกิน การใช้กันมากมายเกินความจำเป็นจนสนับสนุนให้เกิดการทำลายป่าไม้ของโลกกันอย่างมโหฬารจนป่าไม้ของโลกถูกทำลายลงอย่างมากมายและกระทบกับระบบนิเวศของมันจนทำให้ป่าเสียสมดุล แล้วผลที่ตามมาก็คือทำให้พื้นที่ป่าลดลง แล้วความชุ่มชื้นก็ลดลง จึงทำให้ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล เกิดภาวะฝนแล้งนานๆ เมื่อฝนตกก็เกิดน้ำท่วม จึงส่งผลให้ต้นไม้ตายมากขึ้น และเกิดพื้นที่ทะเลทรายมากขึ้น

ฝนที่ตกต้องตามฤดูกาลจะช่วยให้มนุษย์เพาะปลูกพืชที่ใช้เป็นอาหารให้มีเพียงพอ แต่ถ้าเกิดฝนแล้งขึ้นมานานๆพืชก็ย่อมที่จะเพาะปลูกไม่ได้ ก็จะส่งผลให้มนุษย์เกิดความอดอยากขาดแคลนขึ้นมาได้ อีกทั้งการที่ไม่มีป่าไม้ก็จะส่งผลทำให้อากาศบริสุทธิ์ลดน้อยลง และอุณหภูมิของโลกสูงขึ้น ซึ่งนี่หมายถึงความเดือดร้อนของมนุษย์ และถ้ายังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปนานๆ ภัยพิบัติย่อมเกิดขึ้นแก่มวลมนุษย์อย่างแน่นอน ทั้งจากความอดอยากขาดแคลน ทั้งจากโรคระบาดต่างๆ และจากสงคราม

ในปัจจุบันสมครามเพื่อแย่งชิงทรัพยากรของประเทศอื่นกำลังรุนแรง ซึ่งสงครามนี้ก็มีทั้งสงครามเศรษฐกิจและสงครามการใช้กำลังอาวุธ ประเทศที่มีอำนาจมีเทคโนโลยี่สูงก็ใช้เศรษฐกิจ การเมืองและเทคโนโลยี่เพื่อกอบโกยเอาทรัพยากรของประเทศอื่นมาเป็นของประเทศตนเอง ถ้าประเทศใดไม่ยินยอมหรือขัดขวางก็หาทางใช้กำลังอาวุธเข้าบังคับควบคุม ส่วนประเทศที่เสียเปรียบก็จะใช้สงครามแบบกองโจร คือซุ่มทำร้ายหรือก่อความไม่สงบขึ้นมาต่อต้าน จนเกิดความเดือดร้อนวุ่นวายไปทั่วโลกอย่างเช่นในปัจจุบัน และถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าโลกคงถึงกาลวิบัติเป็นแน่

สรุปได้ว่า ป่าไม้คือผู้ให้กำเนิดและมีพระคุณอย่างยิ่งแก่มนุษย์ ถ้าป่ายังคงอุดมสมบูรณ์ มนุษย์ก็จะมีชีวิตที่สงบสุข แต่ถ้ามนุษย์ทำลายป่า ก็เท่ากับทำร้ายตัวเอง ซึ่งเรียกว่าเป็นผู้เนรคุณต่อป่า ซึ่งจัดเป็นความเลวทรามต่ำช้าที่สุดของมนุษย์ แล้วมนุษย์ก็จะต้องได้รับผลอันเลวร้ายเป็นสิ่งตอบแทนอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ถ้ามนุษย์ยังไม่กลับตัวกลับใจมารักษาป่า รักษาธรรมชาติ ด้วยการช่วยกันกินและใช้อย่างประหยัดเพื่อไม่ให้เกิดการทำลายป่าไม้ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม มนุษย์ก็ย่อมที่จะพบกับความวิบัติอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงในไม่ช้า.

เตชปญฺโญ ภิกขุ
อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี
(ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net)
*********************