ความสุขกับความตาย

ชีวิตเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องตายด้วยกันทุกคนแม้เด็กก็ยังรู้ ซึ่งคนที่จะตายก็ย่อมที่จะเป็นทุกข์อย่างแสนสาหัส เมื่อชีวิตเริ่มเกิดขึ้น ก็เท่ากับเริ่มเดินไปสู่ความตาย บางชีวิตก็ตายช้า บางชีวิตก็ตายเร็ว บางชีวิตก็ตายทรมาน บางชีวิตก็ตายสงบ และเมื่อความตายมาถึง ก็ต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไป เหลือไว้แต่เพียงความทรงจำให้คนที่ยังอยู่ระลึกถึงเท่านั้น

ชีวิตก่อนที่จะเกิดเราขึ้นมา และชีวิตเบื้องหลังความตายจะเป็นอย่างไรนั้น คนที่ยังอยู่ย่อมไม่มีทางรู้ แต่ก็พอจะอนุมานได้ว่ามันเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับชีวิต เหมือนสีขาวที่ตรงข้ามดับสีดำ หรือสว่างที่ตรงข้ามกับมืด เมื่อชีวิตคือการเคลื่อนไหว ความตายก็ย่อมเป็นความสงบนิ่ง เมื่อชีวิตคือความหิว ความตายก็คือความไม่หิว เมื่อชีวิตคือการคิดนึก ความตายก็คือการไม่คิดนึก เมื่อชีวิตก็คือการรับรู้ ความตายก็คือการไม่รับรู้ เมื่อชีวิตคือความทุกข์ทรมาน ความตายก็คือความสิ้นทุกข์ทรมาน เมื่อชีวิตคือความมีปัญหา ความตายก็คือความไร้ปัญหา

เราทุกคนที่เห็นๆกันอยู่นี้ล้วนต้องตายด้วยกันทั้งสิ้นในวันหนึ่งข้างหน้า แต่ก็ไม่มีใครสนใจคิดถึงมัน ทุกคิดถึงแต่การมีชีวิตที่มีความสุข ทุกคนสนใจแต่จะแสวงหาและเสพสุข ทุกคนลุ่มหลงมัวเมาในชีวิต ยึดมั่นถือมั่นในชีวิตเหมือนกับว่าตนเองจะไม่ตาย เหมือนกับว่าตนเองจะอยู่ค้ำฟ้า อย่างนี้จะเรียกว่าอะไร? นอกจากความประมาท

ความสุขของโลกทำให้คนหลงติดกันโดยถ้วนหน้า จนลืมความตาย ทั้งๆที่มันก็เป็นแค่เพียงความรู้สึกอย่างหนึ่งที่น่าพึงพอใจเท่านั้น เท่านั้นจริงๆไม่มีอะไรนอกไปจากนี้เลย อันที่จริงความสุขมันก็เกิดอยู่ภายในจิตใจ แต่ว่ามันต้องอาศัยสิ่งภายนอกมาช่วยกระตุ้นให้เกิดความสุข ถ้าปราศจากสิ่งกระตุ้น ความสุขมันก็ไม่มี หรือมีอยู่แล้วก็ต้องหายไป และความจริงก็คือไม่มีใครจะมีความสุขอยู่ได้ตลอดเวลา ถึงคนรวยจะมีสิ่งกระตุ้นให้เกิดความสุขได้ตลอดวันตลอดคืนก็ตาม แต่สิ่งกระตุ้นนั้นก็หาได้ให้ความสุขได้เสมอไปไม่ เพราะไม่มีอะไรเที่ยงแท้ ไม่นานสิ่งกระตุ้นให้เกิดความสุขนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นกระตุ้นให้เกิดความจืดชืดและเบื่อหน่ายเป็นความทุกข์ไปในที่สุด เหมือนอาหารชนิดหนึ่งที่แสนจะเอร็ดอร่อย ถ้ากินติดต่อกันนานๆก็ย่อมที่จะเปลี่ยนมาเป็นอาหารที่ไม่เอร็ดอร่อยไปในที่สุด

ความสุขทั้งหลายของโลก จึงเป็นเพียงมายา เหมือนกลุ่มควันที่ดูหนาทึบ แต่ว่าว่างเปล่า ไร้ตัวตนให้จับยึดเอามาไว้ครอบครอง แม้จะมีมากมายสักเพียงใด และนานสักเท่าใดก็ตาม ก็หายึดถือเอาไว้ให้เที่ยงแท้ยั่งยืนได้ไม่ สุดท้ายก็สูญหายไปจนหมดสิ้นเมื่อความตายมาถึง

แม้ในวันหนึ่งๆที่เรายังมีชีวิตอยู่นี้ก็ตาม ความสุขก็สูญหายไปอยู่แล้วทุกวี่วัน แม้วันนี้เราจะมีความสุขมาทั้งวันก็ตาม แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงเย็นถึงค่ำหรือดึก ก็ถึงเวลาที่ต้องพักผ่อน เมื่อร่างกายและจิตใจต้องพักผ่อน ก็ถึงเวลาแห่งความจริงที่ว่าเราไม่สามารถจะเสพสุขต่อไปอีกได้แล้ว ก็จึงเป็นอันว่าถึงเวลาแห่งความจบสิ้นหรือสิ้นสูญความสุขที่เคยได้รับ ความสุขที่เคยได้รับมาทั้งวันก็เป็นเพียงแค่อดีตที่ยังอยู่ในความทรงจำเท่านั้น มันหายไปหมดสิ้นแล้ว เหมือนกับว่าเราได้ตายจากมันไปชั่วคราว เหลือเอาไว้แต่ความอยากที่เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วก็อยากที่จะมีความสุขอย่างเช่นเมื่อวันที่ผ่านมาอีก หรือมากกว่านั้นอีก ซึ่งมันก็เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เราเกิดขึ้นมาแล้ว และจะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงวันที่เราต้องจากมันไปอย่างถาวร ความว่างเปล่าของความสุขในแต่ละวันจึงเป็นสิ่งบ่งบอกถึงความว่างเปล่าของความสุขตลอดทั้งชีวิตของเรา

ถ้ายิ่งมองให้ละเอียดเข้ามาอีกเราก็จะพบว่า แม้ในเวลาชั่วโมงหนึ่ง หรือนาทีหนึ่ง หรือแม้สักวินาทีหนึ่งก็ตาม ความสุขที่เรากำลังได้รับอยู่ในช่วงเวลานั้นก็กำลังจากเราไปอยู่ทุกขณะ มันเพียงทยอยกันเข้ามาให้เรารู้สึกสุขติดต่อกันอยู่ตลอดเวลานั้นเท่านั้น และมันก็ทยอยหายจากเราไปเท่าที่มันทยอยมาหาเรานั่นเอง เหมือนสายน้ำที่ไหลมาหาเราและไหลผ่านเราไปอยู่ตลอดเวลานั่นเอง นี่คือความว่างเปล่าของความสุขในแต่ละขณะที่บ่งบอกถึงความว่างเปล่าของความสุขตลอดทั้งวันและตลอดทั้งชีวิตของเรา

ถึงแม้ความสุขจะว่างเปล่า แต่เราก็ยังลุ่มหลงติดใจกันอยู่เหมือนสิ่งเสพติด ทั้งๆที่รู้ว่ามันต้องจากเราไป ซึ่งเราก็ต้องพยายามแสวงหามาใหม่ แล้วมันก็จากเราไปอีก แล้วเราก็แสวงหามาอีก แล้วมันก็จากเราไปอีก วนเวียนอยู่เช่นนี้ไปจนตลอดชีวิต ลองคิดดูว่ามันจะทำให้เราต้องทุกข์ยากลำบากในการแสวงหาสักเท่าใด ยิ่งถ้าแสวงหาไม่ได้ หรือมันต้องจากไป ก็ยิ่งทำให้ทุกข์ตรมหนักขึ้นไปอีก

อนิจจามนุษย์ผู้โง่เขลาและอ่อนแอที่น่าสงสาร ที่วิ่งไล่คว้าหาความสุข แต่ผลที่ได้รับกลับเป็นความทุกข์ เพราะความสุขที่ได้รับมันกลับวิ่งหนีไปอยู่ทุกขณะ จึงทำให้ต้องเหนื่อยยากไปตลอดชีวิต โดยไม่ได้รับความสุขอย่างแท้จริงเลย จะได้รับก็เพียงความรู้สึกสุขที่เป็นของชั่วคราวหรือหลอกลวง ที่หนีหายไปอยู่ทุกขณะ จนในที่สุดร่างกายก็ทนไม่ไหวเพราะวิ่งหาความสุขมาจนทรุดโทรม ต้องสงบระงับจบสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง จบสิ้นการวิ่งไล่คว้าหมอกควันที่ลอยมาหลอกลวงให้ต้องเหนื่อยยากไปจนตลอดชีวิตโดยไม่ได้อะไรเลย.

เตชปญฺโญ ภิกขุ
อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี
(ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net)
*********************