ความขัดแย้งระหว่างความเชื่อกับความจริง

************

เรื่องคนไม่มีศาสนา

ชาวพุทธที่ไม่ได้ศึกษาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจอย่างถูกต้อง ก็จะมีความเชื่อกัน (ผิดๆ) ว่า คนที่ไม่นับถือศาสนาเป็นคนไม่ดี เพราะไม่เชื่อเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า จึงทำความชั่วได้ง่าย เพราะไม่มีอะไรมาขู่ให้กลัว ส่วนความดีจะทำได้ยาก เพราะไม่มีอะไรมาหลอกให้ทำ

แต่ในความเป็นจริงนั้น การทำความดีหรือชั่วของคนเรานั้น มันขึ้นอยู่กับว่า คนทำนั้นมีปัญญามากน้อยเพียงใด ถ้ามีปัญญาน้อยก็ต้องเอานรกมาขู่ เอาสวรรค์มาล่อ เพื่อที่จะได้ไม่ทำความชั่ว และจะได้ทำความดี แต่ถ้าเป็นคนที่มีปัญญามากหน่อย ก็ไม่ต้องเอานรกมาขู่ เอาสวรรค์มาล่อก็ได้ เขาก็ทำความดี และไม่ทำความชั่วอยู่แล้ว เพราะเขามองเห็นอยู่ว่าการทำความดี อันได้แก่การช่วยเหลือผู้อื่นด้วยใจบริสุทธิ์นั้น มันทำให้จิตใจของเขาเป็นสุข ส่วนทำความชั่ว อันได้แก่การเบียดเบียนชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นนั้น มันก็ทำให้จิตใจของเขาไม่สบาย

สาเหตุที่ทำให้คนในปัจจุบันกลายเป็นคนไม่มีศาสนากันมากขึ้นก็เพราะ ผู้คนสมัยนี้มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์กันมากขึ้น ดังนั้นเขาจึงมองเห็นว่าศาสนาของโลกทั้งหมดในปัจจุบันมีแต่ความเชื่อ ที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ (แต่ก็ชอบอ้างกันว่าศาสนาของตนเป็นวิทยาศาสตร์ ทั้งๆที่จะหาความเป็นวิทยาศาสตร์แทบไม่มีเลย) และไม่ได้ทำให้เขาเกิดปัญญาเห็นแจ้งชีวิตเลย สรุปก็คือ เขามองไม่เห็นประโยชน์ที่จะได้รับจากนับถือศาสนา เขาจึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องมีศาสนา เขาก็สามารถมีชีวิตที่ปกติสุขได้เหมือนคนที่มีศาสนา

ธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ทั่วไปนั้น เมื่อไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนให้เกิดปัญญาจนถึงขั้นเห็นแจ้งชีวิตแล้ว ก็ย่อมที่จะถูกความเชื่อครอบงำได้ง่าย ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนเบียดเบียนกันจนเกิดความทุกข์ใจและเกิดความเดือดร้อนทางกายขึ้นมา ศาสดาทั้งหลายของทุกศาสนาจึงได้ใช้อุบายที่ดี ที่จะทำให้คนที่นับถือไม่ทำความชั่ว แต่จะทำความดี ด้วยการเอาความเชื่อที่ดีงามมาครอบงำเอาไว้ ซึ่งความเชื่อที่ดีงามนั้นก็ได้แก่ความเชื่อเรื่องสิ่งสูงสุด เรื่องเทพเจ้า เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เป็นต้น และเมื่อผู้คนยึดมั่นในความเชื่อที่ดีงามเช่นนี้แล้ว ผู้ที่ยึดมั่นในความเชื่อนี้ก็จะมีความปกติสุข รวมทั้งสังคมก็จะสงบสุข ซึ่งนั่นก็คือสิ่งสูงสุดที่ศาสนาทั้งหลายต้องการ     

แต่ในปัจจุบันเมื่อความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้ามากขึ้น ผู้คนเริ่มมีเหตุผลกันมากขึ้น ผู้คนก็จะเชื่อเฉพาะสิ่งที่สัมผัสได้หรือพิสูจน์ได้เท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าความเชื่อของศาสนาที่ไม่มีเหตุผลมาอธิบายให้เข้าใจได้ และไม่มีของจริงมาให้พิสูจน์ จึงถูกมองว่าเป็นเรื่องงมงายไปในที่สุด แม้ว่าจะมีประโยชน์ก็ตาม และนี่เองที่ทำให้ผู้คนสมัยนี้เริ่มเป็นคนที่ไม่มีศาสนากันมากขึ้น เพราะเขามองว่า ศาสนาเป็นเพียงเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจไม่ให้ทำความชั่ว และให้ทำแต่ความดีเท่านั้น ดังนั้นถ้าศาสนาทำได้เพียงเท่านี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องมีศาสนาก็ได้ เพราะเขาก็ไมทำความชั่ว และทำแต่ความดีอยู่แล้ว ยิ่งในปัจจุบัน นักบวชบางคนของบางศาสนา ก็มักจะทำเรื่องเสื่อมเสีย เช่น เอานรกมาขู่เอาสวรรค์มาล่อ เพื่อหวังให้ผู้ศรัทธาเอาทรัพย์มาให้มากๆ เมื่อได้ทรัพย์มากๆแล้วก็มีความประพฤติที่น่ารังเกียจจนมีข่าวไปทั่ว เป็นต้น ก็ยิ่งทำให้เขาเกิดความรู้สึกไม่ชอบศาสนามากยิ่งขึ้น

ถ้ามีศาสนาที่ไม่ใช้ความเชื่อ ไม่งมงาย แต่สอนมีเหตุผล และพิสูจน์ได้จริง รวมทั้งช่วยให้เกิดความเข้าใจตลอดจนเห็นแจ้งในชีวิตด้วยตนเองได้ ก็เป็นที่แน่นอนว่าศาสนานั้นจะเป็นที่ยอมรับของคนที่ไม่มีศาสนาในปัจจุบันได้ แล้วศาสนาเช่นนี้จะมีอยู่ในโลกหรือไม่? ถ้ามีก็ควรเรียกว่าเป็นศาสนาวิทยาศาสตร์

คำสอนดั้งเดิมของพระพุทธเจ้านั้น เป็นคำสอนให้เกิดความเข้าใจและเห็นแจ้งชีวิตโดยใช้เหตุผลและความจริงตามหลักวิยาศาสตร์ โดยผลจากความเห็นแจ้งชีวิตก็คือทำให้เกิดปัญญาสูงสุดที่จะนำมาใช้ปฏิบัติคู่กับสมาธิ (โดยมีศีลเป็นพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว) เพื่อดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบัน แต่ต่อมาคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธองค์ที่เป็นวิทยาศาสตร์นี้ ก็หาผู้ที่เข้าใจไม่ได้ (เพราะคนที่มีความรู้ในสมัยก่อนมีน้อย) จึงได้ถูกกลืน (คือผสมกับคำสอนของศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู) ให้กลายเป็นคำสอนที่มีแต่เรื่องความเชื่อที่งมงายและไม่เป็นวิทยาศาสตร์ไปในที่สุด แล้วก็กลายมาเป็นพุทธศาสนาอย่างเช่นในปัจจุบัน และถ้าคนไม่มีศาสนาจะมาได้พบกับคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าแล้ว เขาก็จะยอมรับ เพราะทำให้เขาเกิดความเข้าใจและเห็นแจ้งชีวิต ได้ด้วยสติปัญญาของเขาเองโดยไม่เชื่อจากใครๆ รวมทั้งยังช่วยให้เขามีความทุกข์ลดน้อยลงหรือไม่มีเลยได้ แม้เขาไม่ได้นับถือศาสนาใดๆในโลกเลยก็ตาม

เตชปัญโญ ภิกขุ

อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี

๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘

ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.whatami.net

*********************
หน้ารวมบทความ
*********************